BAAN SANSIRI PATTANAKARN inspired by the elegance of one of Britain’s most stylish architectural eras. Adapted for the way you live.
The word “Regency” might ring a bell to many ears, especially those who have studied in England. The word originated from the “Regency Era,” which remains a part of the British aesthetics, and stemmed from King George IV while he was a Prince Regent, The Era was during 1811-1837, between the late Georgian Era and shortly before the Victorian Era. The period saw a boom in aesthetics through different aspects of culture including architecture.
The period came around the closure of the Napoleonic Wars, after Emperor Napoleon I was defeated at Waterloo, Belgium, by the 7th Coalition of which the British were a part. After this war, many changes came to many sectors, from politics and economy to arts and architectures. The Regency period was that of a revival of art and science. There were combinations of art from many different periods, ranging from Gothic to Greek and Indian art. This marked a culturally high and unique period for the British, thanks to Prince Regent himself, who not only ordered the revival of old architecture and creation of new works but was also a primary sponsor of such. There were several times that he used his own money instead of the House’s to make the works as perfect as possible. Thus, his title of Prince Regent became the namesake of the Regency period.
The uniqueness of this period’s architecture lies in the building’s exterior. The facade was designed and decorated in a white tone contrasting with the building’s black components, allowing for the building’s grace to be further enhanced by the gradient of shades. The angles of the structure and windows created a sense of security, while the archway eluded to elegance and luxury. It is no wonder why the archway was seen in many different works of architecture from different periods and civilizations, ranging from the Roman and Greeks to Mesopotamia and the British Regency, as it is a form that has utility in terms of both its design and structure. Another high art and an iconic piece of this period was Wedgwood Jasperware’s porcelain. The porcelain came in a unique blue color and was so popular among the members of the Royal Family that the queen herself granted permission to use the name “Queen’s Ware” for the designs.
The uniqueness of Regency arts makes it appear as if timeless. The structure’s strength was hidden under smooth arches while black components like the windowsills, stairs, roof, and rails show off the high quality of the art in an awesome and appealing manner. Such can be seen in buildings like the Brighton Pavilion, the Carlton House, and the Royal Families’s Buckingham Palace as well as public spaces like the Regent’s Park. All of this was designed and closely watched over by King George IV and John Nash, the latter was the leading figure behind the Period’s art scene.
Because of this timeless and impressive beauty, Thailand’s property leader, Sansiri, incorporates the uniqueness of the Regency’s beauty into the exclusive and luxurious single housing project ‘Baan Sansiri Pattanakarn.’ The design includes the white-toned facade contrasting with the black components of the house, the archway which makes the house appear more luxurious, and the continuous horizontal and vertical interior management that succeeds in creating shades and dimension. The interior is decorated with Europe’s popular low-carbon steel while the gardens were inspired by the pattern in the Regent’s Park in such a thoughtful and beautiful fashion they appear nothing short of picturesque. The project’s clubhouse interior was also decorated with inspiration from Wedgwood Jasperware and use the Wedgwood Blue color along with the signature white graphic design. The design is even more captivating with its decoration with a precious item, Cipollino Rosso marble. All of this makes the housing project of Baan Sansiri Pattanakarn unique in terms of not only its decoration but also its ability to provide a perfect sense of utility within its space. All of these special things were created for only 36 families.
Apart from the architecture’s signature design, Baan Sansiri Pattanakarn houses were created for family members of every age. Each private space was designed with a different function in mind dependent upon the resident’s age, while the common space is ample enough for each resident to spend time together.
The high-end Baan Sansiri Pattanakarn project was located on a high-quality piece of land near many business and lifestyle hubs such as Sukhumvit, Thonglor – Ekkamai, Petchburi, and Rama 9. It is also surrounded by many facilities that will accentuate the resident’s life. Those include shopping malls, international schools, high-end hospitals, and parks. Travelling is also easy with many choices of commuting. With these reasons, Pattanakarn is indeed a good residential district where it is becoming more and more expansive. It is, therefore, no wonder why Baan Sansiri Pattanakarn is deemed the new flagship project by Sansiri.
This is indeed a creation of timeless beauty realized through the attention paid to every detail, allowing for every resident of the project to live in a comfortable and warm atmosphere every day.
For those who are interested, you may call to make an appointment at 1685 or visit the website at
https://www.sansiri.com/singlehouse/baan-sansiri-pattanakarn/en/
คำว่า “รีเจนซี่” อาจเป็นคำคุ้นหูของใครหลายๆ คน ยิ่งหากเป็นนักเรียนอังกฤษ คำนี้คงเป็นคำที่ต้องเคยได้ยินแน่ๆ ซึ่งคำว่า “รีเจนซี่” นั้น มาจาก ยุครีเจนซี่ (Regency Era) อันเป็นส่วนหนึ่งของความงามในแบบอังกฤษที่ยังคงหลงเหลือให้เราได้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้
“ยุครีเจนซี่” ถูกตั้งตามชื่อของพระเจ้าจอร์จที่ 4 ในสมัยที่ยังเป็นเจ้าชายผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (Prince Regent) ซึ่งเป็นช่วงปลายของยุคจอร์เจียนก่อนจะเข้าสู่ยุควิคตอเรียน ในช่วงปี ค.ศ. 1811-1837 ถือเป็นยุคหนึ่งที่เคยรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ในด้านความงามในศิลปวัฒนธรรมแขนงต่างๆ รวมไปถึงสถาปัตยกรรมอีกด้วย
ยุครีเจนซี่ อยู่ในช่วงที่สงครามนโปเลียนเพิ่งสิ้นสุดลง หลังจากที่จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ได้รับความพ่ายแพ้สงครามที่เมืองวอเตอร์ลู ประเทศเบลเยี่ยม และสหราชอาณาจักรซึ่งเป็นฝ่ายพันธมิตรได้รับชัยชนะ เมื่อสงครามจบลง การเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ได้เริ่มต้นขึ้น ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจการค้า รวมถึงด้านศิลปวัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมด้วย ยุครีเจนซี่ถือเป็นยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ และผสมผสานศิลปะหลากหลายยุค ตั้งแต่ยุคโกธิคไปจนถึงกรีกและอินเดีย ทำให้เป็นยุคที่มีความรุ่งเรืองสูง และมีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว ซึ่ง Prince Regent นี่เองที่เป็นผู้ให้การอุปถัมภ์หลัก ทรงสั่งให้สร้างและฟื้นฟูสถาปัตยกรรมต่างๆ ซึ่งบ่อยครั้งที่พระองค์เลือกใช้เงินส่วนพระองค์เอง แทนการใช้เงินจากท้องพระคลัง เพื่อให้งานออกมาสมบูรณ์ที่สุด ชื่อของ Prince Regent จึงได้กลายมาเป็นชื่อเรียกช่วงยุคนี้ หรือก็คือ “ยุครีเจนซี่” นั่นเอง
เอกลักษณ์ที่โดดเด่นของงานสถาปัตยกรรมในยุคนี้ คือ รูปลักษณ์ด้านนอกของตัวอาคาร หรือ ฟาสาด (Facade) ที่ได้รับการออกแบบและตกแต่งด้วยโทนสีขาว ตัดกับองค์ประกอบสีดำ มีการไล่ระดับของอาคารเพื่อเพิ่มความโดดเด่นสง่างามของอาคาร ในขณะที่เหลี่ยมมุมของอาคารและหน้าต่างมอบความรู้สึกมั่นคงและปลอดภัย ความโค้งของประตูรูปทรงโค้งมน (Archway) ช่วยสร้างความรู้สึกอ่อนช้อย นุ่มนวล และโอ่โถง เป็นงานศิลปะที่ใช้งานได้จริงทั้งในเรื่องของการออกแบบและโครงสร้างของอาคาร จึงไม่แปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดประตูทรงโค้งมนจึงเป็นที่นิยมในศิลปะหลายยุคหลายอารยธรรม ไม่ว่าจะเป็นกรีก โรมัน เมโสโปเตเมีย และสืบเนื่องมาจนถึงยุครีเจนซี่นี้ด้วย ซึ่งอีกหนึ่งศิลปะขั้นสูงอันวิจิตรบรรจง ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น Iconic Piece แห่งยุครีเจนซี่ คือภาชนะเครื่องเคลือบพอร์ซเลน (Porcelain) แบรนด์ Wedgwood Jasperware ที่มีสีฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งได้รับความนิยมในเหล่าราชวงศ์อังกฤษจนได้รับพระราชทานอนุญาตให้ใช้ชื่อว่า Queen’s Ware
คุณสมบัติอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งหมดนี้ คือส่วนหนึ่งของศิลปะยุครีเจนซี่ที่มอบความงามเหนือกาลเวลาให้แก่ผู้พบเห็น ความแข็งแกร่งของโครงสร้างอาคารได้ถูกลดทอนความกระด้างลงไปด้วยรูปทรงที่โค้งมน เส้นสายสีดำขององค์ประกอบอาคารไม่ว่าจะเป็นกรอบหน้าต่าง ราวบันได และราวระเบียงพาให้สัมผัสถึงกลิ่นอายของความเป็นศิลปะชั้นสูงได้เป็นอย่างดี เห็นได้จากตัวอย่างสถาปัตยกรรม ไม่ว่าจะเป็น Brighton Pavilion, Carlton House พื้นที่สาธารณะต่างๆ อย่าง Regent’s Park รวมไปถึงพระราชวังบัคกิ้งแฮมของราชวงศ์อังกฤษ ทั้งหมดนี้ได้รับการออกแบบ และการดูแลการสร้างอย่างใกล้ชิดจากพระเจ้าจอร์จที่ 4 และ John Nash สถาปนิกในพระราชสำนักผู้เป็นหัวเรือใหญ่ในการขับเคลื่อนแวดวงศิลปะยุครีเจนซี่
จากความโดดเด่นทางสถาปัตยกรรมที่ได้สร้างความรู้สึกประทับใจเหนือกาลเวลานี้เอง จึงเป็นที่มาของบ้านเดี่ยวจาก “แสนสิริ” ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของไทย โดยการนำแนวคิดที่จะนำเอกลักษณ์เฉพาะตัวของศิลปะยุครีเจนซี่มาไว้ในโครงการ “บ้านแสนสิริ พัฒนาการ” โครงการบ้านเดี่ยว ย่านพัฒนาการสุดเอ็กซ์คลูซีฟระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ที่ไม่ว่าจะเป็นฟาสาดโทนขาวตกแต่งสีดำของตัวบ้าน รูปทรงโค้งมนของประตู (Archway) ที่ช่วยเพิ่มความโอ่โถ่งให้กับตัวบ้าน ความต่อเนื่องของการจัดสรรพื้นที่ภายในบ้านทั้งในแนวนอน (Horizontal) และแนวตั้ง (Vertical) ที่ช่วยสร้างมิติและเงา รวมถึงการตกแต่งภายในและองค์ประกอบต่างๆ ที่ใช้งานฝีมือเหล็ก Low Carbon ซึ่งเป็นที่นิยมในยุโรป ครอบคลุมไปถึงการจัดแต่งสวนที่งดงามดั่งภาพวาดในแบบพิคเจอร์เรสค์ (Picturesque) และที่ขาดไม่ได้เลยคือการนำเอาแรงบันดาลใจจาก Wedgwood Jasperware มาใช้ตกแต่งภายในโครงการ เพิ่มบรรยากาศผ่อนคลายภายในคลับเฮาส์ด้วยโทนสีฟ้า Wedgwood Blue และลวดลายอ่อนช้อยสีขาวอันเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ยังแต่งแต้มความตระการตาด้วยวัสดุเลอค่าอย่างหินอ่อน Cipollino Rosso ทำให้โครงการ “บ้านแสนสิริ พัฒนาการ” รังสรรค์บ้านเดี่ยวที่มีความโดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรม แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นพื้นที่ที่สามารถใช้งานได้จริง ความพิเศษทั้งหมดนี้ สร้างสรรค์มาให้สำหรับ 36 ครอบครัวเท่านั้น
นอกเหนือไปจากเอกลักษณ์ทางด้านสถาปัตยกรรมแล้ว “บ้านแสนสิริ พัฒนาการ” ยังเป็นบ้านที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับทุกเจเนอเรชั่นในครอบครัว มีความเอาใจใส่ในรูปแบบการใช้ชีวิตของคนทุกช่วงวัย เห็นได้จากพื้นที่ส่วนรวมภายในบ้านที่กว้างขวาง เหมาะสำหรับการใช้เวลาร่วมกัน ในขณะเดียวกันพื้นที่ส่วนตัวก็ได้รับการออกแบบให้เหมาะสมกับการใช้งานของสมาชิกแต่ละช่วงวัย
“บ้านแสนสิริ พัฒนาการ” บ้านเดี่ยวในทำเลศักยภาพสูง ใกล้กับศูนย์กลางธุรกิจและไลฟ์สไตล์ที่สำคัญ ทั้งย่านสุขุมวิท ทองหล่อ – เอกมัย เพชรบุรีตัดใหม่ และพระราม 9 นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสำหรับการอยู่อาศัยที่ครบครัน รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิต ทั้งศูนย์การค้า โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาลชั้นนำ รวมไปถึงสวนสาธารณะ และยังเดินทางได้ง่ายจากหลากหลายเส้นทางคมนาคม พัฒนาการจึงจัดเป็นทำเลที่พักอาศัยใจกลางเมืองคุณภาพสูงมาอย่างยาวนาน และนับวันก็จะยิ่งทวีมูลค่ามากขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่แปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใด “บ้านแสนสิริ พัฒนาการ” จึงถูกเรียกว่าตำนานบทใหม่ของโครงการแฟล็กชิพจากแสนสิริ
และนี่คือผลงานที่งดงามเหนือกาลเวลา ซึ่งเกิดขึ้นจากความใส่ใจในทุกรายละเอียด เพื่อให้ทุกครอบครัวภายใน “บ้านแสนสิริ พัฒนาการ” แวดล้อมไปด้วยความสุข และความรักในทุกๆ วันของการใช้ชีวิต
สนใจเข้าชมโครงการ “บ้านแสนสิริ พัฒนาการ” สามารถติดต่อนัดหมายล่วงหน้าได้ที่ โทร. 1685 หรือเข้าชมเว็บไซต์โครงการได้ที่
https://www.sansiri.com/singlehouse/baan-sansiri-pattanakarn/th/