เอกภาพ ดวงแก้ว จาก EKAR Architects ชวนให้ฉุกคิดว่า นอกเหนือจากอิฐ หิน ดิน ทรายที่จับต้องได้ สิ่งที่นับว่าเป็น ‘ความจริง’ ในสถาปัตยกรรมยังรวมไปถึงความรู้สึกและจินตนาการที่มนุษย์มีต่อสถาปัตยกรรมด้วย
TEXT: EKAPHAP DUANGKAEW
PHOTO COURTESY OF EKAPHAP DUANGKAEW
(For English, press here)
รูปร่างของแสง กับ ความงามที่พร่ามัว
หากสถาปัตยกรรมคือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นบนเส้นรอยต่อระหว่างขอบเขตดินแดนแห่งความจริงและจินตนาการ
ความจริง คือภาพที่เราเห็น
จินตนาการ คือจิตที่เราคิด
ภาพ รับรู้ได้จากการเดินทางของแสง
ความรู้สึก รับรู้ได้จากการเดินทางของจิต
ด้วยสัญชาติญาน ความสุนทรีย์ไม่กี่อย่างของมนุษย์นั้นมี ‘ศิลปะ’ เป็นหนึ่งในนั้น ย้อนกลับไปกว่าร้อยห้าสิบปี ในช่วงปี 1874 งานศิลปะภาพวาดล้วนเกิดจากการสร้างสุนทรียภาพจากการบันทึกภาพจากของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าที่ตาเห็นให้ใกล้เคียงความจริงที่สุด แต่มีศิลปินกลุ่มหนึ่ง ที่ถูกเรียกเชิงเสียดสี ว่ากลุ่ม ‘ลัทธิประทับใจ’ (อิมเพรสชั่นนิสซ์) ได้นำเสนอสิ่งที่แตกต่างออกไป พวกเขาเชื่อว่างานศิลปะควรเป็นพื้นที่ที่อยู่ระหว่างความจริงและจินตนาการ
ภาพวาดเสมือนจริง ถูกปรับเปลี่ยนให้ผสมผสานกับความรู้สึก จิตใจ การพยายามจินตนาการส่วนผสมของแสงที่มีหลากหลายเฉดสี ก่อนจะมากกระทบที่ตาเรา แล้วส่งสัญญาณผ่านเส้นประสาทเข้าไปในสมอง แล้วสื่อสารออกมาเป็นกายภาพผ่านแปรงพู่กันสั้นๆ บนผ้าใบ ด้วยสีหลากหลายสีที่ตามนุษย์ไม่อาจแยกแยะได้ ผสมกันหลายหมื่นจุดจนกลายเป็นภาพวาดเสมือนจริงเพียงหนึ่งของการบันทึกกิจกรรมทั่วๆ ไป แต่กลับเป็นภาพที่เชื้อเชิญให้สมองของผู้ชมได้โลดแล่นไปสร้างจินตภาพของภาพใหม่นั้นได้ด้วยจิตตัวเองอย่างไม่จำกัด เรียกว่าเป็น ศิลปะแห่งความงดงามของประกายแสงและสี
แม้อิฐ หิน ดิน ทราย ที่จับต้องได้ จะถูกสร้างขึ้นเป็นสถาปัตยกรรมเพื่อตอบประโยชน์พื้นฐานการใช้งานและอยู่อาศัยของมนุษย์เป็นหลัก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า สุนทรียภาพ ของการใช้ชีวิตของมนุษย์นั้นนับเป็นสัญชาติญาณพื้นฐานตั้งต้น (Primitive instinct) ของมนุษยชาติที่มีมาเช่นเดียวกัน
หากสถาปัตยกรรม คือการสร้าง ‘ความจริง’ ที่ก่อร่างสร้างขึ้นมาจากองค์ประกอบของ จินตนาการ และความรู้สึก ซ่อนอยู่ การสร้างความจริง ที่ไม่เปิดโอกาสให้มีที่ว่างให้จินตนาการได้โลดแล่นนั้น จะยังถือว่าเป็นความจริงได้อย่างไร?
เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีการก่อสร้างได้พัฒนาขึ้น วัสดุประกอบอาคารอย่างเช่น ‘กระจก’ จึงกลายเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยทำหน้าที่เป็นตัวกลาง เปรียบเสมือนเลนส์ตา ที่ทำหน้าที่ให้แสงผ่านเข้ามาในลูกตา เบี่ยงเบนแสงให้ตกที่บริเวณหลังสุดของลูกตา ทำให้เกิดภาพบนเรตินา (Retina) ที่อยู่ด้านหลังของลูกตา แล้วส่งข้อมูลของวัตถุที่มองเห็นผ่านเส้นประสาท (Optic nerve) ไปสู่สมอง สมองจะทำการแปลข้อมูลเป็นภาพของวัตถุนั้นๆ
กระจกอาคาร จึงไม่ใช่เป็นเปลือกที่ห่อหุ้มเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้อาคารสวยงามเมื่อมองจากภายนอก แต่หากเป็นสื่อกลางที่แปลงสารเข้ามาให้คนจากภายในได้รับรู้ความจริงในแบบที่ต่างออกไปต่างหาก ดังที่จะได้เห็นจากงานของ EKAR ในช่วงระหว่างปี 2018 – 2022 พยายามศึกษาและทดลองในเรื่องดังกล่าว
ในเมื่อสถาปัตยกรรมถูกรับรู้ได้ผ่านดวงตาและดวงจิต ‘กระจก’ สามารถทั้งสร้างภาพให้ผู้คนได้เห็นภาพที่เหมือนจริงที่ตาเห็น หรือให้วัตถุนั้นๆ หายไป กระเจิงให้เกิดรูปร่างของแสงสีต่างๆ รวมถึงหักเหให้เกิดภาพที่บิดเบี้ยวหรือทำให้ภาพนั้นพร่ามัวได้
เมื่อสถาปัตยกรรมได้ย้ายขอบเขตมาสู่ดินแดนระหว่างความจริงและจินตนาการได้ เมื่อนั้น‘ความประทับใจ’ ที่เคยเป็นเพียงแค่งานศิลปะในยุคสมัยหนึ่ง อาจจะเดินทางเข้าสู่ความจริงของความงามได้ในภาวะนิรันดร์