เปิดประตูสู่อดีตไปกับโชว์สุดอลังการใน Macau 2049 ที่หยิบเอาศิลปะวัฒนธรรมแดนมังกรกว่า 5,000 ปีมาผสมผสานกับเทคโนโลยีล้ำสมัย
TEXT: WARUT DUANGKAEWKART
PHOTO COURTESY OF MACAU 2049
(For English, press here)
เปิดตัวกันไปอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนที่ผ่านมา (15 ธันวาคม 2567) กับ ‘Macau 2049’ ที่นับว่าเป็นโปรเจกต์ Artist Residency ครั้งแรกที่โรงละคร MGM ในมาเก๊า ซึ่งได้ จาง อี้โหมว ผู้กำกับชาวจีนที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ มาเป็นศิลปินผู้ออกแบบ และกำกับ ‘Macau 2049’ ร่วมกับ แพนซี โฮ ประธานและผู้อำนวยการบริหารของ MGM China Holdings Limited ที่เป็นผู้อำนวยการสร้าง นำวัฒนธรรมอันหลากหลายของจีนกว่า 5,000 ปี มาผสมผสานกับเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน เกิดเป็นโชว์ที่สร้างประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ให้กับผู้ชม และก้าวขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของมาเก๊า ที่เป็นเสมือนโอกาสสำคัญในวาระครบรอบ 25 ปี การกลับคืนสู่มาตุภูมิของมาเก๊าด้วยเช่นกัน
สำหรับ ‘Macau 2049’ เป็นการนำแนวคิดที่จะผสมผสานอารยธรรมเก่าแก่ของแผ่นดินจีนที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ทั้งพิธีกรรม การขับร้อง การเต้นรำ และดนตรีพื้นถิ่น ที่มีอยู่หลากหลาย มาบอกเล่าผ่านการผสมผสานเทคโนโลยีที่สร้างให้เกิดเป็นงานแสดงทั้งหมด 8 บท ที่คอยบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่ใช่เพียงความตื่นตาตื่นใจเท่านั้น แต่ยังแฝงไปด้วยรายละเอียดของความคิดที่ถ่ายทอดออกมาผ่านโชว์ในงานนี้
โชว์เปิดตัวด้วยบทแรก Drumming·Shadows ที่นำเอาการร้องเพลงแบบ Hua’er ที่เป็นดนตรีพื้นเมืองตั้งแต่ยุคราชวงค์หมิง ที่ผสมผสานการขับร้อง และเครื่องดนตรีพื้นถิ่น ผนวกเข้าไปกับเทคโนโลยีจาก IRB2600 ที่เป็นแขนหุ่นยนต์ ที่เป็นเสมือนการจำลองแขนของมนุษย์ ขยับได้อย่างอิสระ นำมาสร้างสรรค์การแสดงโดยใช้เทคนิดการฉายเงาลงบนพื้นผิวสีขาว และฉายควบคู่ไปกับการแสดงท่วงท่าที่ถูกถ่ายทอดโดยนักแสดงเพียงคนเดียว แต่สร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมไปกับแขนของหุ่นยนต์ทั้งสอง เกิดเป็นการแสดงที่หยอกล้อประสาทการรับรู้ของผู้คน ทั้งจากพื้นผิว มุมมอง ภาพจริง และภาพเงาที่ถูกถ่ายทอดออกมา
Khoomei·Ethereal ในบทที่ 2 ที่นำเอาวัฒนธรรมการขับร้องจากชาวมองโกเลียมาเป็นองค์ประกอบหลักในการแสดง ด้วยเสียงที่ก้องกังวาน การขับร้องเสียงที่สูง และมีเมโลดี้ที่ไพเราะราวกับว่าอยู่ในทุ่งหญ้าของดินแดนมองโกเลีย ช่วยขับให้บรรยากาศในทุ่งกว้างชัดเจนออกมา ควบคู่ไปกับ visual ที่เป็นภาพเสมือนของสัตว์ต่างๆ ในจินตนาการที่เดินอยู่บนทุ่งหญ้าผ่านฤดูกาลต่างๆ ที่จะเห็นถึงความงดงามของธรรมชาติ ทุ่งหญ้า ดอกไม้ และหิมะ ที่แสดงออกถึงภูมิประเทศแบบมองโกเลียได้เป็นอย่างดี อีกหนึ่งไฮไลต์คือ Air Fountain Installation ที่เป็นการนำพัดลม 16 ตัวที่ถูกติดตั้งไว้ภายในระบบของเวที มาช่วยสร้างความเคลื่อนไหวในอากาศผ่านการพัดผ้าให้หมุนวนไปมา สร้างรูปฟอร์มที่อิสระและไหลลื่นให้เกิดขึ้นกลางเวทีจนเสมือนกับการเต้นรำ ที่เข้ามาช่วยเติมเต็มให้โชว์ในบทนี้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
ในบทที่ 3 มีชื่อว่า Miao Songs·Transcendent วัฒนธรรมจากชนเผ่าแม้วพื้นเมือง ที่ย้ายถิ่นฐานมาอาศัยอย่างยาวนานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ซ่อนอยู่ในเมืองจีน แสดงออกถึงการขับร้อง และเต้นรำด้วยเพลงของชนเผ่า ผ่านภาษา เครื่องแต่งกายที่แสดงออกถึงเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ซึ่งในโชว์นี้ถูกออกแบบร่วมไปกับเทคนิค kinetic mirror จาก WHITEVoid ที่ได้นำกระจก 108 ชุดมาเคลื่อนไหว และ สร้างปฏิสัมพันธ์กับแสงไฟ เพื่อให้เกิดเป็นมุมกระทบ สะท้อนลำแสงออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้เกิดเป็นโครงสร้างที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตามรูปแบบและองศาของกระจกที่เปลี่ยนไปตลอดทั้งโชว์ ที่เข้ามาช่วยเติมเต็มให้โชว์บทนี้มีความน่าตื่นตาตื่นใจ
The Crossroads Inn·Masks ในบทที่ 4 นี้ได้แบ่งการแสดงออกเป็น 2 ส่วนอย่างชัดเจน ส่วนแรกเป็นการนำเอา Peking Opera ที่เป็นละครเวทีดั้งเดิมตั้งแต่ยุคราชวงศ์หมิง ที่เป็นเสมือนละครใบ้ บอกเล่าเรื่องราวของตัวละคร 2 คนที่ต่างมาพบเจอกันในความมืดในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ด้วยความมืดจึงเกิดเกิดการปะทะกันไปมา ต่างฝ่ายต่างมองไม่เห็นซึ่งกันและกัน จนเกิดเป็นท่าทางชวนให้ผู้ชมรู้สึกไปร่วมกันผ่านแสงไฟสลัวนี้ ในอีกส่วนหนึ่งเสมือนเป็นการสะท้อนเรื่องราวกลับมายังปัจจุบัน ในยุคของเครื่องมือสื่อสารและเทคโนโลยีที่ทำให้ทุกสิ่งเชื่อมโยงกัน การแสดงชุดนี้จึงแสดงออกถึงความเชื่อมโยงของระบบต่างๆ ทั้งอินเทอร์เน็ต AI ผ่านแสง สี เสียง ภาพ และการเต้นของกลุ่มนักแสดงพร้อมกับ Ipad ที่สื่อถึงหน้ากากของเทคโนโลยีที่ถูกสร้างขึ้นมาแทนที่การมองเห็นของมนุษย์
การเต้นรำ หยอกล้อ และผสมผสานกันในบทที่ 5 Yangge·Robots ที่ได้นำการร้อง และเต้น แบบ Yangge ที่มีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยพลังงาน และสีสันจากการแต่งกายที่ชวนให้ผู้ชมโยกตามไปด้วย ในขณะที่การแสดงของมนุษย์นั้นมีชีวิตชีวา โชว์ชุดนี้ถูกคั่นด้วยการปรากฏตัวของหุ่นยนต์ H1 ที่เป็นหุ่นยนต์ขนาดใกล้เคียงกับมนุษย์และสามารถเครื่อนที่ได้หลากหลาย ที่ออกมาเดิน เต้น และทำการแสดงอย่างอิสระบนเวที ซึ่งทำให้เห็นถึงความแตกต่างก่อนที่จะปิดโชว์ด้วยการเต้น Yangge อีกครั้งหนึ่ง
Yi Song·Ocean ในบทที่ 6 เป็นการสร้างบรรยากาศของทั้ง MGM Theater ให้กลายเป็นมหาสมุทรผ่านภาพเคลื่อนไหวของท้องทะเลที่ฉายบนจอขนาดกว่า 900 ตารางเมตร ควบคู่ไปกับการขับร้องจากวัฒนธรรมเผ่าอี้ (Yi) เป็นการขับร้องประสานระหว่างชายและหญิง บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีพื้นถิ่นที่ให้ความรู้สึกก้องกังวาน ให้ความรู้สึกเหมือนสายน้ำ ที่นอกจากบรรยากาศและภาพเคลื่อนไหวบนจอแล้ว โชว์ชุดนี้ได้เปลี่ยนพื้นที่ว่างเหนือผู้ชม ด้วยการจำลองสัตว์น้ำ ทั้งปลากระเบน เต่าทะเล ด้วยเทคโนโลยี biomimetic ที่สร้างวัตถุให้เคลื่อนไหวในอากาศได้อย่างอิสระ แหวกว่าย และล่องลอยเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมทั่วทั้งพื้นที่
ในบทที่ 7 ที่มีชื่อว่า Lion Dance·Radiance จะได้ชมการเชิดสิงโตในมุมมองใหม่ๆ ผ่านการออกแบบคาแร็กเตอร์ที่มีความร่วมสมัยมากขึ้น การเชิดสิงโตถือเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ และพบเห็นได้อย่างแพร่หลายในทุกภูมิภาค ซึ่งการเชิดสิงโตเป็นการแสดงออกถึงศิลปะการป้องกันตัวที่นำมาผสมผสานกับการเต้นและเสียงดนตรี ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวที่เป็นอิสระ ก่อนที่จะเปิดตัว kinetic installation รูปร่างสิงโตที่ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนสีทองกว่า 2,118 ชิ้น ซึ่งแต่ละชิ้นสามารถเคลื่อนไหวเพื่อสร้างเอฟเฟ็กต์ที่เกิดช่วยในการสะท้อนแสงที่ตกกระทบให้เกิดเป็นรูปแบบที่ซับซ้อนไม่รู้จบ
บทสุดท้าย Storytelling·Origin ที่พาย้อนกลับไปถึงจุดกำเนิดของสิ่งต่างๆ เล่าเรื่องผ่านภาพ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของจักรวาล แสงเลเซอร์สร้างเอฟเฟ็กต์สอดคล้องไปกับภาพในจอที่ช่วยบอกเล่าเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จากการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ สู่อารยธรรมที่ค่อยๆ เจริญรุ่งเรืองผ่านยุคสมัย จนทุกสิ่งอย่างหลอมรวมมาเป็นโลกในปัจจุบัน โชว์ชุดนี้ประกอบไปด้วย ดนตรีบรรเลงที่เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมจากยุคราชวงศ์หมิง (Ming) และราชวงศ์ชิง (Qing) ผ่านเครื่องดนตรี 3 ชิ้น ที่ช่วยบอกเล่าเรื่องราว และเป็นตอนจบที่สมบูรณ์ของ ‘Macau 2049’ นี้
ด้วยประสบการณ์ที่ได้รับ เรื่องราวทางวัฒนธรรมที่ถูกเรียบเรียง และบอกเล่าผ่านวิธีการที่ร่วมสมัย ทำให้มองเห็นภาพว่า ‘Macau 2049’ จะช่วยให้เกิดภาพจำใหม่ และส่งต่อเรื่องราววัฒนธรรมจีนให้คนรุ่นใหม่เข้าใจในวงกว้าง ซึ่งสามารถดึงดูดผู้ชมจากทั่วโลกให้เข้ามาสัมผัสมาเก๊าได้มากขึ้น ไม่ใช่เพียงเชิงการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่รวมถึงการบอกเล่าเชิงวัฒนธรรมที่กว้างขวาง ดนตรีพื้นถิ่นที่หาชมยาก การแต่งกายที่มีเอกลักษณ์ และประสบการณ์จากเทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้ถือเป็นประสบการณ์ที่ควรสัมผัสอย่างแท้จริง
สามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติม และรายละเอียดการจองตั๋วเข้าชมได้ที่
https://macau2049.mgm.mo/en