เมื่อเงื่อนไขของผู้ใช้งานถูกนำมาประกอบเข้ากับประสบการณ์ของผู้ออกแบบ ผลงานที่ปรากฏของ Nana Johnny co studio จึงมีทั้งพื้นที่ที่เรียบง่าย แปลกตา และบางทีก็มีความฉูดฉาด
TEXT: NANA JOHNNY CO STUDIO
PHOTO: JIRAYU PRAPASEEWORAKUL
(For English, press here)
WHO
‘Nana’ เป็นชื่อต้นครับ จาก Nana Komatsu เธอคือดาราหญิงชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่ Nana ชื่นชอบ ส่วน ‘Johnny’ ก็เป็นชื่อต้นจาก Johnny Depp เขาก็คือดาราชายอีกคนที่ Johnny ชื่นชอบเป็นที่สุด เรานำทั้ง 2 ชื่อจากทั้งตะวันออก+ตะวันตก มาประกอบกันเป็นเรา Nana Johnny co studio ชื่อที่รวบรวมความรู้, ความคิด, ความรู้สึกของผู้คนอย่างไร้พรมแดนและเป็นกันเองอย่างที่สุด
WHAT
เราเป็นบริษัทออกแบบอย่างสร้างสรรค์ แน่นอนว่าเน้นไปที่งานสถาปัตยกรรมและออกแบบภายใน แต่พอได้ทำมาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ก็รู้สึกว่าเราเป็นอะไรมากกว่านั้น เป็นทั้งเพื่อนพี่น้อง พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ นักแก้ปัญหา ที่ปรึกษาคู่ใจ หรือเป็นเหมือนลูกหลานเมื่อได้ร่วมงานกับทุกๆ ท่าน ซึ่งเรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ มันสนุกมากครับ พอเรารู้ว่าเป็นอะไรได้อีกเยอะเลยจากการได้ร่วมงานหรือได้พูดคุยกับทุกคน เราก็ยิ่งอยากพบเจอและพูดคุยกับผู้คนต่อไปเพื่อที่จะได้รู้ว่าพวกเราจะเป็นอะไรได้อีก
WHEN
ช่วงปลายปี 2021 ในเดือนกุมภาพันธ์ เรา 2 คน คือ ธเนศวร ฉัฐมะวงค์ (ต้า) ที่เพิ่งออกจากบริษัทเดิมที่ทำงานอยู่ กับ สิรภพ พูลศรี (แก๊ก) ที่ออกมาก่อนหน้านั้น ได้มานั่งหารือกันแล้วก็คิดว่า “จะทำยังไงให้ผู้คนให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมรอบตัวมากขึ้นจนกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่และมาตรฐานของผู้คนดี” เราคิดแบบนั้นกันอย่างจริงจังมาเนิ่นนาน จนสุดท้ายก็มา! เริ่มกันสักที! ตอนนั้นเราสร้างงานขึ้นมาเป็นตัวอย่าง เป็นงานที่ตั้งใจสื่อสารว่าการทำความรู้จักกับตัวเองให้ได้จนถึงแก่น และให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมรอบตัวนั้นมันยอดเยี่ยมแค่ไหน
ป.ล. จริงๆ ในช่วงหลายปีก่อนหน้านั้นเราทั้งคู่ก็ทำงานร่วมกันมาอยู่แล้ว เพียงแต่ความพิเศษของเดือนกุมภาพันธ์ปี 2021 คือวันที่ชื่อ Nana Johnny co Studio ถือกำเนิดขึ้นมา
WHERE
ตอนแรกสุดเลยเรานั่งกันอยู่ใน Porcupine Café ตรงซอยอารีย์ 4 ฝั่งเหนือครับ ทั้งคุยทั้งทำงานกันเป็นประจำ จำได้ว่าเพจ facebook ที่เป็นช่องทางการโปรโมตงานแรกในชื่อของเราก็สร้างที่ร้านนี้แหละ จะทะเลาะ หัวเราะ หรือร้องไห้ก็อยู่ด้วยกันที่ร้านนี้ เป็นร้านที่มีความทรงจำอัดแน่นอยู่มากมายเลย น่าเสียดายที่ตอนนี้เราไปร้านนั้นน้อยลง เพราะตั้งแต่เดือนธันวา 2022 เราก็มีหลักแหล่งเป็นของตัวเองกับเขาสักทีครับ แต่ก็ยังวนเวียนอยู่ในซอยอารีย์อยู่ดี ตอนนี้พวกเราอยู่กันที่ซอยอารีย์สัมพันธ์ 2 หากมีโอกาสก็แวะเวียนมาพูดคุยกันได้นะครับ ฮ่าฮ่า
WHY
จริงๆ ตอบยากครับ ไม่มั่นใจว่าจะตอบยังไงดี ‘ทำไม’ เหรอครับ อืม… ความชอบของเรามีหลายอย่างเลย งานอดิเรกก็เยอะ แต่ที่มาเป็น interior ก็คงเพราะเป็นสิ่งที่เราทำได้ดีและทำได้อย่างล้ำลึก มันน่าลุ่มหลงขนาดนั้นเลยจริงๆ เราได้ทำทั้งรับฟัง สร้างสรรค์ และส่งสารนั้นออกมาได้อย่างเป็นรูปธรรม ราวกับการเสกภาพลวงตาให้เกิดขึ้นจริง เรื่องโหดร้ายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็เยอะแยะ แต่ก็รู้สึกเจ๋งทุกครั้งที่เราได้เข้าถึงสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของผู้คน แถมมันก็จับต้องได้จริงๆ อีกด้วย
คุณนิยามสไตล์การออกแบบของตัวเองไว้อย่างไร
ไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นเลยครับ จนถึงตอนนี้การทำงานของเราก็ยังให้ user เป็นที่ตั้งอยู่ ให้เขานำทางไปโดยมีเราเป็นผู้สอบถามจนได้ ‘คุณสมบัติ’ ของโปรเจ็กต์ชุดนึงที่จะนำมาผสานกันเป็นงานออกแบบ โดยเราจะมีกฎอยู่ว่าต้อง ‘ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออก’ และ ‘สร้างสิ่งที่จำเป็นนั้นให้สุดยอดที่สุด’ งานโดยรวมของเรามักจะออกมาเรียบง่ายแต่ก็แปลกตา บางทีก็ฉูดฉาด แต่ไม่ว่าจะออกมาเป็นแบบไหนก็จะอยู่ในกฎ 2 ข้อนี้ของเราเสมอ
อะไรคือแรงบันดาลใจและหลักการในการทำงานแต่ละครั้ง
เรื่องราวของผู้ใช้ครับ เรามีโอกาสได้คุยกับผู้ใช้หรือเจ้าของโครงการเยอะ ระหว่างบทสนทนาเหล่านั้นเราก็ได้พบเจอกับความชอบ ความปรารถนา อดีต อนาคต ความเพ้อฝัน หรือแม้แต่ความเห็นทางธุรกิจมากมาย ซึ่ง ‘เรื่องราว’ เหล่านี้นับเป็นครึ่งหนึ่งของแรงบันดาลใจของเรา ที่ต้องใช้คู่กับอีกส่วนหนึ่ง นั่นก็คือ ‘ประสบการณ์’
พอเรื่องราวเหล่านั้นไปแตะโดนอะไรบางอย่างซึ่งอาจจะเป็นเรื่องราววัยเด็ก ความฝัน ความรู้สึก ความอยาก ความเพ้อเจ้อ การ์ตูนที่ชอบ ภาพยนตร์ สถานที่ท่องเที่ยวในความทรงจำ อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว เราก็หยิบสิ่งนั้นมาผสมกันจนเป็นแรงบันดาลใจ 100% ในการทำงานของเรา มันเจ๋งมากเลยครับ
โปรเจ็กต์ไหนที่คุณภูมิใจมากที่สุด เพราะอะไร?
ตอบยากอีกแล้ว เอาจริงๆ ให้เลือกลำดับ 2 อาจจะง่ายกว่า ฮ่าฮ่า เพราะมันชั่งน้ำหนักยากเหมือนกันว่าโปรเจ็กต์ไหนที่ภูมิใจมากที่สุด ก่อนหน้านี้อย่างที่เล่าไปในข้อ ‘When’ ผมได้พูดถึงงานที่เราสร้างขึ้นมาเป็นตัวอย่างตามอุดมการณ์ที่ตั้งไว้ใช่ไหมครับ นั่นคืองาน COFFEE, CABIN & BOOK ชิ้นนี้ครับ COFFEE, CABIN & BOOK เป็นงานที่เต็มไปด้วยการวางแผนและการคิดอย่างรอบคอบ รวมถึงตรงต่ออุดมการณ์ของเราอย่างมากครับ เรียกได้ว่าเป็นงานที่ภูมิใจที่สุดก็ได้ แต่สุดท้ายงานนั้นก็ไม่ได้สร้าง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากๆ
ส่วนถ้าเป็นตอนนี้ เราก็มีงานที่สร้างเสร็จแล้วเยอะพอสมควร ถึงจะติดขัดไม่เป็นไปตามแผนบ้างด้วยองค์ประกอบแวดล้อมหลายๆ อย่าง แต่ก็น่าภาคภูมิใจทั้งนั้นครับ ถ้าให้เลือกมาสัก 1 ผลงานที่คิดว่าเป็นเส้นทางที่ดีและนำเสนอตัวตนของพวกเราได้อย่างชัดเจน ขอเลือกเป็น Nagareru Living ที่รูปแบบการคิดทั้งหมดเป็นไปตามกฎของงานออกแบบของเราอย่างครบถ้วนจริงๆ และก็ย้อนกลับมาเป็นจุดเริ่มต้นของการผลักดันคำถามที่ว่า “จะทำยังไงให้ผู้คนให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมรอบตัวมากขึ้น จนเป็นวัฒนธรรมใหม่และมาตรฐานของผู้คนดี” ตามความคาดหวังที่เราวางไว้ตั้งแต่ปี 2021
ขอสามคำเพื่ออธิบายหลักการในการทำงานของคุณ?
‘แปลก’ ‘ง่าย’ และ ‘เป็นกันเอง’
คุณชอบขั้นตอนไหนระหว่างออกแบบมากที่สุด?
การที่ต้องตอบอะไรถึงความเป็น ‘ที่สุด’ นี่เป็นเรื่องยากจริงๆ ครับ ผมชอบตอนที่ได้คุยกับผู้ใช้หรือเจ้าของโครงการนะ บางเรื่องมันก็สนุกจนอยากเอามาเขียนเป็นเรื่องสั้นหรือนิยายเลย แต่นั่นก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ที่ชอบที่สุดคงเป็นตอนที่เราสามารถผสานดีไซน์เข้าด้วยกันได้ครับ
ก่อนหน้านี้อย่างที่เล่าไปว่า ปกติเราพูดคุยกับลูกค้าจนได้ ‘คุณสมบัติ’ บางอย่างที่ไม่ได้เข้ากันเลยมาชุดหนึ่ง ซึ่งมันอาจจะผสมหรือยังไม่ผสมกับ ‘ประสบการณ์’ ของเราก็ได้ ความยากของมันคือการผสานคุณสมบัติเหล่านั้นให้เกิดขึ้นมาเป็นงาน 1 ชิ้น 1 คำตอบ ที่สุดท้ายแล้วต้องไร้ซึ่งคำถามใดๆ ผลลัพธ์นั้นจะสนุกมาก เพราะเราจะได้งานออกแบบที่คลีนสุดๆ แต่ขณะเดียวกันก็ยังแปลกประหลาดอย่างเข้าใจได้ เป็นขั้นตอนที่พอได้ไปถึงจุดนั้นแล้วก็แทบจะกระโดดโห่ร้องดีใจออกมาเลยล่ะครับ ยิ่งแปลกยิ่งรู้สึกดี
ถ้าคุณสามารถเชิญ ‘ครีเอทีฟ’ สักคนไปดื่มกาแฟด้วยกันได้ คุณจะเลือกใครและทำไม
ขอเลือกเป็นอาจารย์ Kohei Horikoshi แล้วกันครับ จริงๆ ในใจก็มีอยู่หลายคน แต่พอได้ไปหารือกันกับทุกคนก็คิดว่างานของอาจารย์นี่แหละที่เชื่อมโยงพวกเรา ณ ตอนนี้เข้าด้วยกัน พวกเรามีสถาปนิก นักออกแบบ หรือคนที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพของเราที่ชอบอะไรเหมือนๆ กันอยู่เยอะ แต่น่าแปลกตรงที่เราไม่ค่อยสนุกกันแบบสุดๆ เวลาพูดคุยถึงความสุดยอดของผลงานจากตำนานเหล่านั้นเลย กลับกันเรื่อง My Hero Academia นี่แหละ ที่มีสีสันจัดจ้านควบคู่กับเรื่องราวที่เรียบง่าย แต่ก็แฝงไปด้วยรายละเอียดอันลึกซึ้งแถมเข้าถึงไม่ยาก ทั้งเรื่องเพื่อน ครอบครัว การเสียสละเพื่อสิ่งสำคัญบางอย่าง ความรู้สึกของตัวเองต่อผู้อื่น ความไม่ยอมแพ้และความฝัน
นอกจากนี้การออกแบบตัวละคร ลักษณะ อุปนิสัย อัตลักษณ์ หรือคอสตูมในเรื่อง ก็โดดเด่นและน่าสนใจมากครับ จังหวะการเล่าเรื่องทำเอาพวกเราหัวเราะท้องแข็ง เคร่งเครียด ไปจนถึงร้องไห้น้ำตาแตกแบบไม่ได้เตรียมใจ และความสุดยอดเหนือสิ่งอื่นใดที่เอาจริงๆ แค่การชวนอาจารย์มานั่งดื่มกาแฟอาจยังพูดคุยกันได้ไม่จุใจพอ นั่นก็คือคำถามที่ว่า ทุกอย่างที่เราได้พูดไปนั้น มันถูกกลั่นออกมาจากคนๆ เดียวได้อย่างไร
เราที่เป็นดีไซเนอร์เอง เอาเข้าจริงก็ต้องยอมรับว่าเราเป็นเพียงบทบาทหนึ่งในงานที่สำเร็จออกมา เปรียบเสมือนคนเขียนบทและผู้กำกับ แต่แค่ส่วนเดียวนั้นก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดสุดยอดเรื่องราวที่ไปแตะใจผู้คนได้ แต่อาจารย์ Kohei Horikoshi คนเดียวทำได้ ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ ครับ