เปิดบทสนทนาเพื่อทำความรู้จักกับตัวตนของ A.YA.YOI นักวาดภาพประกอบผู้มีสไตล์การวาดอันโดดเด่นด้วยคาแร็กเตอร์ผู้หญิงหัวเล็ก ตัวใหญ่ และใช้สีสันสดใสให้ความรู้สึกเป็นมิตรและความเป็น fashionista
TEXT: KASIMOL TEERAVORAVONG
PHOTO & IMAGE COURTESY OF A.YA.YOI
(For English, press here)
ในงาน Bangkok Illustration Fair (BKKIF) 2024 ที่ผ่านมา ภาพของเด็กผู้หญิงผมส้ม หัวเล็กแต่ตัวใหญ่ ผิวสีชมพูสดใส อาจผ่านตาใครหลายคน คาแร็กเตอร์นี้เป็นไอเดียของ ออยล์-ดนยา ตันปัทมดิลก หรือที่รู้จักกันในนาม A.YA.YOI (อะยะยอย)
art4d มีโอกาสได้พบปะพูดคุยและทำความรู้จักกับตัวตนของเธอ ซึ่งเธอได้เล่าถึงที่มาของชื่อว่า เกิดในช่วงมัธยมปลายมีการเล่นแยกสระออกจากชื่อ ‘ออยล์’ แต่มีรุ่นพี่ที่ชื่อเหมือนกัน เพื่อนเลยแนะนำให้เพิ่มสระ จนได้เป็น ‘อะยะยอย’ นั่นทำให้เธอรู้สึกถึงความเป็นญี่ปุ่นและความสดใส เหมาะสมกับงานที่ทำอยู่ จึงใช้เป็นนามปากกาในการทำงานศิลปะจนถึงปัจจุบัน
art4d: เล่าให้ฟังหน่อยว่าเริ่มสนใจการวาดภาพหรืองาน illustration ได้อย่างไร? มีแรงบันดาลใจอะไรที่ทำให้เข้าสู่วงการนี้?
Donnaya Tanpattamadilok: จริงๆ ชอบวาดภาพมาตั้งแต่เด็กเลยค่ะ ตอนเรียนอนุบาลเพื่อนในห้องจะชมว่าเราวาดสวย เราเลยตื่นเต้นเวลาได้เรียนวิชาศิลปะ ได้ทำการบ้านส่งคุณครู เพราะรู้สึกว่าเราทำได้ดีกว่าสิ่งอื่น เราสามารถถ่ายทอดสิ่งที่เห็นได้จากดินสอแค่แท่งเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่เจ๋งมาก พอช่วงมัธยมเริ่มมาสนใจงานวาดจริงๆ จังๆ แต่โรงเรียนที่เรียนอยู่ในตอนนั้นไม่มีสายศิลปะ ประจวบกับเพื่อนมาชักชวนให้ไปสอบที่โรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) จึงย้ายโรงเรียนและเลือกเรียนเอกออกแบบ
เวลาไปเรียนพิเศษทุกเสาร์อาทิตย์ก็จะเข้าร้านหนังสือ ไปอยู่ตรงมุมหนังสือภาพประกอบจนเหมือนบ้านหลังที่สอง ช่วงนั้นมีนักวาดภาพประกอบ นักวาดการ์ตูนที่เด่นๆ เลยคือ มุนินทร์ สายประสาท, Art Jeeno, The Duang, จัง-สุพิชชา เสนารักษ์ แล้วก็ Jimmy Liao ศิลปินชาวไต้หวัน ได้ดูผลงานหล่านี้แล้วรู้สึกว่าเขาสามารถถ่ายทอดเรื่องราวผ่านภาพประกอบและตัวอักษรแค่ไม่กี่คำ มันเข้าไปลึกถึงจิตใจได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ เราร้องไห้ได้กับภาพแค่หนึ่งภาพเลยเหรอ
ตรงจุดนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เรามุ่งมั่นที่จะทำให้ได้บ้าง คือให้ภาพวาดของเราสามารถบอกเล่าเรื่องราวออกไป ซึ่งก็อาจจะไปตรงกับเรื่องราวของใครบางคน แล้วแต่ละคนอาจจะตีความต่างกัน อีกอย่างคือเราเป็นคนพูดไม่เก่ง มันมีความคิดซับซ้อนอะไรบางอย่างในหัวจนไม่กล้าพูดออกมา เลยอยากให้ภาพวาดได้บอกเล่าเรื่องราวของเราแทน
ต่อมาในระดับมหาวิทยาลัยเราเลยตัดสินใจเลือกเรียนที่คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ภาควิชาออกแบบนิเทศศิลป์ ถือเป็นโอกาสให้ได้ทำงานในสายออกแบบและงาน illustration มากยิ่งขึ้น พอเรียนจบก็มีโอกาสได้ทำงานให้คนอื่นบ้าง หรือเพื่อนมาให้วาดรูปให้ ภาพวาดของเราเหมือนไปเติมเต็มให้อีกฝ่าย เป็นสิ่งที่ fullfill ใจเพราะฝีมือเราเป็นประโยชน์กับคนอื่นได้
art4d: สไตล์การวาดของ A.YA.YOI มีเอกลักษณ์อย่างไร?
DT: สไตล์ล่าสุดที่โดดเด่นจะเป็นคาแร็กเตอร์ผู้หญิงหัวเล็ก แต่ตัวใหญ่ ให้ความรู้สึก friendly และมีความเป็น fashionista เพราะเราชอบแต่งตัว ชอบแฟชั่น การวาดสเกลคนให้ตัวใหญ่ เท้าใหญ่ ชุดก็จะใหญ่ตาม ทำให้มีพื้นที่ให้วาดดีเทลเสื้อผ้าเยอะขึ้น ภาพที่ออกแบบมาคนมักจะถามว่าวาดตัวเองเหรอ ซึ่งจริงๆ เราก็วาดตัวเองแหละ (หัวเราะ) แต่น้องก็มีชื่อนะ ชื่อ ‘ปาร์ตี้’ เพราะไม่ได้อยากใช้ชื่อตัวเอง ปาร์ตี้เป็นตัวแทนของความว้าวุ่นและสดใส มีผมสีส้มเพราะมีช่วงนึงอยากย้อมผมส้ม ผิวสีชมพูเพราะไม่อยากใช้สีเนื้อ แค่นั้นเลย ความชอบส่วนตัวล้วนๆ อีกคาแร็กเตอร์คือ ‘มาวินตี้’ เป็นคาแร็กเตอร์แรกสุดที่วาด เกิดจากตอนที่เครียดแล้วอยากปลดปล่อยบางอย่างในตัว จะเห็นได้ถึงความไม่สมบูรณ์แบบ ข้างหนึ่งตาโปน ข้างหนึ่งดูปกติ แต่ดูแล้วมีความอิสระ แบบคอยปลอบใจว่าเราไม่ต้องเพอร์เฟ็กต์ก็ได้ นอกจากนี้ยังมีดอกไม้สีม่วงมีตา จะมีความเท่ นอกกรอบ 3 คาแร็กเตอร์นี้เป็น elements ที่วาดมาโดยตลอด เป็นเอกลักษณ์ในเพจของเรา
งานจะเน้นใช้สีฉูดฉาด สดใส มันมาจากช่วงที่เราเบิร์นเอาต์ รู้สึกว่าวาดงานไม่สวย วาดอะไรก็ไม่ดี เลยหันไปปักไหมพรม แล้วมันมีสีไหมพรมให้เลือกแค่ไม่กี่สี ก็เลยเลือกสีจากไหมพรมนั่นแหละมานั่งจับคู่ใน procreate ปรากฏว่ามันน่ารักมาก ฉูดฉาดสะใจดี เหมือนจะไม่เข้ากันแต่มันเข้า บางงานก็กล้าที่จะเลือกใช้สีดำด้วย ตอนติววาดรูปพี่ที่ติวมักจะบอกว่าสีดำจะทำให้งานดูแข็ง แต่เราก็ใช้ถ้าอยากให้งานไหนดูเท่ๆ
art4d: ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผลงานของคุณพัฒนาอย่างไรบ้าง? และคุณเห็นทิศทางการเติบโตในอนาคตอย่างไร?
DT: คือเมื่อก่อนเราเริ่มวาดจากสิ่งที่ตาเห็น วาดเหมือนจริง แต่พอได้เรียนมากขึ้น ก็มีการพัฒนาในด้านองค์ประกอบภาพ การตีความ การเปรียบเทียบว่าในภาพๆ หนึ่งจะสามารถใส่สัญลักษณ์อะไรให้คนเข้าถึงหรือทำให้คนสนใจได้บ้าง ช่วงที่รู้สึกว่างานตัวเองพัฒนามากขึ้นจากแต่ก่อนคือช่วงทำธีสิส เพราะเราได้ตัดสินใจทำสิ่งที่อยากลองทำมาตลอด ระหว่างทำก็ได้คอมเมนต์จากอาจารย์มากมาย ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากกว่าการเรียนตลอดทั้ง 3 ปีอีก สิ่งที่เราเคยคิดว่ามันดีแล้ว อาจารย์ก็แนะนำว่ามันยังไปได้อีก หรือเราควรปรับปรุงตรงไหนและควรเพิ่มเติมอะไรบ้าง ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้เลย
ส่วนทิศทางการเติบโตเรารู้สึกว่ายังมีอะไรหลายอย่างที่อยากลองทำ สิ่งที่ฝันไว้ สิ่งที่อยากลองทำ มันเริ่มผลิดอกออกผลมากขึ้น อย่างปีนี้มีโอกาสได้จัดนิทรรศการ ‘Cherry Heart Exhibition’ ที่ยูเนี่ยนมอลล์ ได้ทำภาพประกอบหนังสือ ‘เพราะหัวใจดีๆ และเชอร์รีเป็นของเธอ’ ของสำนักพิมพ์สปริงบุ๊ค การทำงาน commercial ทั้งการคอลแลบกับแบรนด์ต่างๆ เช่น ต่างหู ทำภาพประกอบหนังสือ และได้ทำ key visual ประกอบ ‘Ep album ชานชา(ลา)’ ของศิลปิน โอม สรัล เลยรู้สึกว่าทุกอย่างมีสิ่งที่เชื่อมโยงกันคือ นำความต้องการของลูกค้าให้อยู่ในสไตล์งานของเรา แต่จุดสำคัญคือ เขาต้องชอบงานเราก่อนถึงจะมาจ้างเรานะ
art4d: การที่คุณได้มีโอกาสเข้าร่วมงาน BKKIF 2024 มีความหมายอย่างไร? คุณคาดหวังอะไรจากการแสดงผลงานในครั้งนี้
DT: จริงๆ แล้วเราส่งผลงานมาตั้งแต่ปีแรก และส่งมาทุกปี แต่ติดปีนี้ ก็รู้สึกดีใจ เพราะงานได้พัฒนาไปถึงจุดที่คนเห็นความสำคัญและเลือกเรา อีกทั้งยังเป็นโอกาสดีที่ทำให้ผลงานของเราได้รับความสนใจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจากองค์กรหรือผู้ที่ชื่นชอบงานศิลปะ แม้บางคนอาจจะแค่เดินผ่านเข้ามาดู แต่ก็อาจจะเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้แฟนคลับเพิ่มขึ้น อีกส่วนหนึ่งคือการสร้างพอร์ตโฟลิโอให้กับตัวเอง
ในอนาคตคาดหวังให้ผลงานของเราได้รับการยอมรับมากขึ้น และหวังว่าจะมีองค์กรหรือผู้สนใจที่อยากร่วมมือกับเรา เพื่อให้ผลงานได้พัฒนาไปในทิศทางที่ดีและมีโอกาสเติบโตต่อไป
art4d: คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง มองเห็นอนาคตของการทำงานด้าน illustration อย่างไร?
DT: ประสบความสำเร็จในสิ่งที่อยากทำนะ ได้จัดนิทรรศการ ได้ทำปกหนังสือที่วางขายอยู่ในร้านหนังสือทั่วประเทศ ถือว่าเป็นเช็กลิสต์ดีๆ ในชีวิตเลย แต่ถ้าด้านการหาเลี้ยงชีพยังรู้สึกว่ามันไม่ได้ประสบความสำเร็จขนาดนั้น เพราะเป็นฟรีแลนซ์ด้วย อย่างงานนี้เสร็จก็ไม่รู้จะมีงานอื่นอีกช่วงไหน ต้องใช้คอนเน็คชันในระดับหนึ่งเพื่อที่จะอยู่รอดและสร้างผลงาน เราต้องรักษาคุณภาพของงานให้ดีที่สุด พร้อมกับสร้างความไว้วางใจพอที่จะบอกปากต่อปากได้
หลังเรียนจบเราลองไปทำงานประจำมา 3 เดือนก็ลาออกเพราะรู้สึกไม่ใช่ อยากเป็นศิลปินมากกว่า เริ่มวาดมานานแล้วแต่เพิ่งเริ่มจริงจังกับการทำงานนี้ได้ไม่ถึงปี แล้วมาจับจุดจับทางได้ในปีนี้เอง ก็คงจะทำงานสายนี้ต่อไปค่ะ เพราะส่วนตัวยังรู้สึกว่าเส้นทางนี้ยังมีโชคให้เราอยู่
art4d: คุณมองเห็นอนาคตของการทำงานด้าน illustration อย่างไร? มองเห็นเทรนด์หรือการเปลี่ยนแปลงอะไรในวงการนี้บ้าง?
DT: ในเรื่องของเทรนด์ เรารู้สึกว่ามีทั้งงานแมสและงานเฉพาะกลุ่ม ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคน ภาพประกอบไม่ได้เปลี่ยนแปลงเร็วเหมือนงานประเภทอาร์ตทอยหรือ fine art ที่มีการเก็งราคาตามกระแส และแม้ว่าปัจจุบันจะเริ่มมีการใช้ AI ในการสร้างภาพ แต่รู้สึกว่างานที่ ‘มนุษย์’ ทำเอง ยังคงมีคุณค่ามากกว่า เพราะมันมีจิตวิญญาณและเอกลักษณ์กว่าการให้คอม generate ขึ้นมา จริงๆ ทางหนึ่ง AI มันก็เป็นประโยชน์ เอามาช่วยในการทำงานบางอย่างได้ แต่การใช้ AI สร้างภาพขึ้นมาเลยมันดูออก ในฐานะคนทำงานเองมันขัดตาขัดใจ
เรารู้สึกว่าปัจจุบันคนเริ่มให้โอกาสและมองเห็นคุณค่าของภาพประกอบมากขึ้นกว่าแต่ก่อน การเข้ามาในวงการนี้และได้ไปออกบูธต่างๆ ทำให้เห็นว่าภาพประกอบเติบโตขึ้นอย่างมาก มีคนมองเห็นแล้วก็สนใจที่จะนำไปใช้งานมากขึ้น ยังมั่นใจว่ามันยังไปต่อได้ ถ้าเรายังคงพัฒนางานและไม่หยุดนิ่ง
art4d: สำหรับคนที่อยากเข้าสู่วงการ illustration คุณมีคำแนะนำอะไรให้กับพวกเขาบ้าง?
DT: อยากฝากคำพูดให้กำลังใจทุกคนว่า สู้ๆ ค่ะ อย่าหยุดทำ และไขว่คว้าหาโอกาสให้ตัวเองในรูปแบบที่เรารู้สึกสบายใจ ถ้าเรายังคงเดินหน้าไม่หยุด วันนึงจะเจอจุดที่รู้สึกว่าเราอยู่ถูกที่ถูกทางแน่นอน มันเหมือนกับการ connect the dots ไปเรื่อยๆ เคยมีอาจารย์บอกว่า “คุณอาจจะยังไม่ชอบผลงานที่คุณวาดในวันนี้ แต่ลองวาดไปสักร้อยหรือพันรูปก่อน แล้วมันอาจจะเป็นงานในร้อยหรือพันที่คุณพอใจ” และเมื่อถึงจุดนั้น คนก็จะเริ่มเห็นและชื่นชมผลงานของเรา ที่สำคัญอย่าลืมออกไปเจอคนใหม่ๆ และโชว์ผลงานให้พวกเขาดู เพราะเพื่อนใหม่ในวันนี้อาจจะกลายเป็นลูกค้าเราในอนาคตค่ะ (หัวเราะ)