INTERVIEW : PEN-EK RATANARUANG

FROM CREATIVE GROUP HEAD TO ADVERTISING FILM DIRECTOR, PEN-EK RATANARUANG IS NOW WORKING ON HIS FIRST FEATURE FILM. ART4D TALKS TO HIM ABOUT THE PLOT, THE IDEAS BEHIND IT, AND HIS EXPECTATIONS FOR THE FUTURE.

ในปี 2539 art4d ได้มีโอกาสพูดคุยกับ ต้อม—เป็นเอก รัตนเรือง ถึงบทบาทครั้งใหม่ของเขาในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ จากที่เคยทำงานในแวดวงการออกแบบ ไปสู่ผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณา มาจนถึงการชิมลางเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องแรก บทสนทนาครั้งนั้นแวดล้อมด้วยเรื่องของพล็อตหนัง แนวคิดที่อยู่เบื้องหลัง และความคาดหวังของเขาในเวลานั้นที่มีต่ออนาคต

art4d: เราเริ่มคุยถึงเรื่องโครงการหนังไทยของคุณเลยดีกว่า

 

ต้อม: งานหนังนี้ทั้งหมดมันเกิดจากความบ้าของผมคนเดียวเลย ไม่มีใครเขาแพลนกัน คือคนที่มากำกับหนังโฆษณานี้กำกับไปซักพักมันช่วยไม่ได้คุณอยากจะทำหนัง เพราะคุณเริ่มดูหนังมากขึ้น ดูวิดีโอมากขึ้น เพื่อจะให้ความรู้ตัวเองและผมชอบดูหนังมาแต่ไหนแต่ไร สมัยก่อนนี้ผมดูหนังฮิทช์ค็อกหมดทุกเรื่อง หนัง วู้ดดี้ อัลเลน ผมจะชอบดูมาก พอมันกำกับหนังโฆษณาก็ดูหนัง reference มากขึ้น แล้วหนังนี่มันเหมือนเชื้อโรคพอมันติดปั๊ปจะคลั่งเลย จะบ้าหนังมากหยุดเที่ยวหมด ผมไม่เคยไปอาร์ซีเอเลยในชีวิตผม ผมอยู่บ้านดูวิดีโอวันละ 3 เรื่องทุกคืน พอดูมากๆ มันก็ติดเชื้อ พอดูเยอะเราก็เริ่มฟอร์มโอพีเนียนของเราเกี่ยวกับหนังอะไรยังเงี้ยะ… มันก็เลยอยากทำ พออยากทำเราก็ลองคิดดูว่าเราชอบหนังแบบไหน แล้วผมมีสคริปเยอะมากในหัว ประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ผมคิดแต่สคริป คือมีไอเดียเยอะมากเกี่ยวกับ feature film มี 5-6 ไอเดียที่ทำได้เลย วันนึงผมก็บอกกับพี่หนัง (พงศ์ไพบูลย์ สิทธิคู ผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณาและผู้ก่อตั้งบริษัท The Film Factory) ว่าผมอยากทำหนังมากเลยผมก็เลยจะลาออก ผมยื่นใบลาออกล่วงหน้า 1 ปี แต่ไม่มีใครสนใจจริงจัง เพราะผู้กำกับทุกคนก็คิดอย่างนี้แต่ก็ไม่มีใครเลิกได้เพราะมันลำบาก คุณก็มีตลาดแล้ว แล้วผมก็ยังแฮปปี้อยู่กับงานโฆษณา

คือไอ้ความอยากนี่มันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บางทีความอยากนี่มันวัดได้จากไอ้ความเพี้ยนเป็นช่วงๆ คนเราที่อยากมันจะอยากตอนว่าง มันฟุ้งซ่าน แต่พอมีหนังโฆษณาสัก 3 เรื่องก็ไม่มีเวลาคิดอะไรแล้ว และในหนัง 3 เรื่องมี 1 เรื่องที่ทำออกมาดีชิบหายเลย คุณก็อยากทำต่อไปเรื่อยๆ มันก็ไม่ได้เลิกซักที พอสิ้นปีผมเลิกเลย ไอ้ความอยากนี้มันเหมือนอาการคันๆ แล้วเกา พอเกาแล้วก็หาย แต่ทีนี้คันแล้วเกามันไม่หายก็ต้องทำ ต้องรักษาไอ้อาการติดเชื้อนี้ด้วยการทำ พอถึงสิ้นปีปุ้บ 31 ธ.ค. แล้วนะ O.K. บ๊าย บาย ผมออกแล้วเค้ายังหาคนไม่ได้ O.K. ผมทำแบบฟรีแลนซ์ได้ คือที่นี่ไม่ได้เป็นระบบบริษัทอะไรเท่าไหร่ เค้าก็ดูแลผมอย่างดี ผมก็ดูแลเค้าอย่างดีในแบบที่เค้าไม่อยากให้ผมไป พี่หนังก็บ้าพอกันเค้าก็บอกงั้นกูเปิดเป็นหนัง Feature Film ให้มึงนะ แล้วคุณมึงรันเอามั้ย เราบอกเอา คือไอ้ความคิดแบบผมในการทำหนังมันเป็นแบบนี้ บางคนบอกพี่ต้อมทำหนังต้องมันส์ เอามันส์ ทำหนังใหญ่ต้องมันส์ ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น ถ้าผมทำหนังใหญ่ผมก็ต้องทำเป็นอาชีพ ผมก็จะทำเป็นธุรกิจ ทำเป็นอาชีพ

art4d: ในฐานะที่กำกับงานสวยๆ มาก่อน คนย่อมต้องคาดหวังสูง?

ต้อม: เพราะเค้าบอกกันว่าเมืองไทยมีแต่วัยรุ่น ซึ่งคุณก็ต้องทำหนังแบบวัยรุ่นมันถึงจะอยู่ได้ แล้วคนก็คิดว่าผมทำหนังอาร์ต หนังอาร์ตๆ ไม่รอดหรอก ผมก็ไม่อยากจะทำหนังอาร์ต ผมไม่ใช่ อิงมาร์ เบิร์กแมน ดูหนังของเขาผมก็หาวบางเรื่องผมก็ชอบ แต่ถ้าให้ผมทำจริงๆ ผมคงทำไม่ได้ อายุผมแค่นี้ประสบการณ์ผมแค่นี้ ความรู้ในเรื่องของภาพยนตร์ผมก็แค่นี้ ผมไม่ควอลิฟายด์ไปทำหนังแบบเบิร์กแมน แบบเฟลลินี่ ผมก็แค่คนๆ หนึ่งที่ทำงานหนักหน่อย ทำงานมาก ที่ผมมาถึงตรงนี้ได้ก็เพราะผมทำงานหนัก ไม่ใช่ที่ผมเป็นอัจฉริยะหรืออะไร คือที่ผมจะทำหนังที่มันเป็นหนังก็คือหนังที่พล็อตสนุกอะไรเงี้ย คือที่ตั้งใจอยากให้มันดีนี่ O. K. โปรดักท์ชั่นดีหน่อย เพราะเรามีประสบการณ์ทางด้านโปรดักท์ชั่นกับที่ผมคลุกคลีมาโดยตลอด และที่ผมสนใจมากในการทำหนังไม่ใช่พล็อตเท่าไหร่ คือ characterization บุคลิกของตัวละคร วิธีการดำเนินเรื่อง ผมเออ… เราคิดว่าเราจะดำเนินเรื่องด้วยวิธีการทำหนังให้มันสนุก คนดูจะงงหน่อยไม่เป็นไรเดี๋ยวค่อยเฉลย ยังไงมันต้องนั่งกับผมในที่มืดๆ เป็นเวลา 2 ชม. อยู่ดี เราก็ดูจากหนังที่เราดูแล้วก็ดูสิมันทำยังไง แล้วก็ทำให้ได้อย่างในหนัง

art4d: พอจะเปิดเผยได้ใหมว่ามันจะออกมายังไง?

ต้อม: ได้ เปิดเผยได้ มันเป็นเรื่องง่ายๆ แบบว่าบอกที่มาก่อนว่าที่เมื่อกี้บอกไปว่ามีไอเดียหลายไอเดียเลยที่จะทำหนังเรื่องนี้ ที่ผมจะทำไม่ใช่เรื่องที่ผมชอบที่สุดแต่คิดว่าใน 5 ไอเดียที่มีอยู่ เรื่องนี้มันคอมเมอร์เชียลที่สุดคือมันพูดง่ายๆ ว่านอกจากที่ผมคิดถึงหนังที่ผมอยากทำที่สุดแล้ว ผมก็คิดในเรื่องเงินด้วย แต่ว่าก็ไม่กะรวยคืออันนี้มันไม่รวยแน่ถ้าทำหนังไทย ท่านมุ้ยทำมากี่ปีแล้วก็ยังไม่รวยคือคนทำไม่มีทางรวยหรอก หนังที่มันฮิตโป้ะเนี่ยเจ้าของค่ายได้เงินแต่คนทำได้น้อยมาก แต่คนทำก็ไม่ควรเรียกร้องอะไรมากอยู่ดี ก็คุณได้ทำแล้วไง คือไอ้คนที่อยากทำมากพอได้ทำแล้วก็รู้สึกพอแล้วว่ะ แล้วสตางค์ที่นายทุนเค้าให้มาทำเนียมันก็ไม่ใช่สตางค์เยอะเมื่อเทียบกับ standard ของโฆษณา จะว่าไปมันเงินน้อยกว่าทำโฆษณา 1 นาที แต่เราต้องทำ 2 ชม. มันเงินน้อยมาก แต่ว่าเราจะพูดว่าเงินน้อยยังไงก็เป็นล้านวะ คือคนที่เค้าให้เงินมานะ ผมก็มีความรับผิดชอบของฟิล์มไดเร็กเตอร์ อีกอย่างก็คือคืนเงินจำนวนนี้ให้เค้าได้ เพราะจะพูดเงินน้อยก็ไม่น้อยเพราะฉะนั้นเรื่องเนี้ยเป็นเรื่องที่คอมเมอร์เชียลที่สุด

art4d: ช่วยเล่าพล็อตย่อๆ ให้ฟังหน่อย

ต้อม: คือมันเป็นพล็อตง่ายๆ มันเป็นเรื่องจริงที่รุ่นพี่ผมเล่าให้ฟัง ผมเอาเรื่องมาแล้วก็มาดัดแปลงให้เป็นไปอย่างที่ผมอยากให้เป็น คือว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ในสคริปตอนนี้เราเรียกว่าไอ้ปู อยู่กับพ่อ 2 คน แม่มันตายไปตั้งแต่มันอายุ 8 เดือน มันไม่รู้จักแม่มัน แต่หัวนอนมันจะมีรูปแม่ขาว-ดำติดอยู่ (รูปแม่สูบบุหรี่ยิ้มหน่อยๆ) แล้วเรื่องมันก็เริ่มที่มันแหละ หลังๆ มันเริ่มฝันถึงแม่เห็น แม่กำลังสร้างบ้านแล้วมันฝันถึงบ่อยหลังๆ เนี้ย แต่กติกาของหนังเรื่องเนี้ยมันแปลกก็คือว่าบ้านมันเสร็จขึ้นเรื่อยๆ ว่ะ ทุกครั้งที่มันฝันนะฝันอย่างต่อเนื่อง แล้วมันก็ไปเล่าให้เพื่อนมันฟัง แล้วเพื่อนมันคนเนี้ยพ่อมันเป็นหมอดู ก็วันนึงไปกินข้าวบ้านเพื่อน พ่อเพื่อนก็เลยดูให้ พ่อบอกมึงซวยแล้ว ว่าถ้าบ้านเสร็จเมื่อไหร่พ่อมึงจะตาย คล้ายกับว่าแม่มันสร้างบ้านไว้รอรับพ่อ นี่คือกติกาของหนัง

art4d: แล้วจะให้มันเป็นแนวไหน?

ต้อม: ผมจะให้มันเป็นคอมาดี้แบบที่เค้าเรียกว่าอะไรนะ ตลกเสียดสีมั้ง คือหนังเรื่องเนี้ยที่ผมสนใจคือมันเริ่มขึ้นที่กรุงเทพฯ ผมอยากทำหนังกรุงเทพฯ มันเซทขึ้นที่กรุงเทพฯ บรรยากาศทุกอย่างเริ่มขึ้นที่กรุงเทพฯ ทั้งหมดถ่ายจริงก็จะเห็นเครนสร้างติดกันชิบหายเลย เป็นคนกรุงเทพฯ 100% เลย พ่อไอ้ปูจะเที่ยวคาราโอเกะทุกคืน กลางวันแม่งโทรศัพท์เล่นหุ้น ไอ้ปูทำงานโฆษณาอะไรเงี้ย มันเป็นบรรยากาศกรุงเทพฯ มากเลย ไอ้ป้อมก็มือปืนซึ่งต้องยิงพ่อ ตอนหลังเนี้ยมันมาหลงรักไอ้ปู รักเค้ามาตลอด กลางคืนก็อัดพ่อเค้ามาตลอด และไม่รู้ว่า 2 คนเนี้ยพ่อลูกกัน ไอ้นี่ก็ติดความฝันอยากไปอเมริกา ยิงใครเสร็จแม่งปล้น เห็นที่บ้านกลับไปบ้านเสร็จแม่งนั่งนับเงินที่ปล้นมาได้ เอาใส่กล่องและมีเทปสอนภาษาอังกฤษ Good Morning อรุณสวัสดิ์…

art4d: อะไรทำให้คิดว่าเรื่องนี้มันคอมเมอร์เชียลที่สุด?

ต้อม: คือเรื่องอื่นมันจะหนักมาก ผมมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมชอบมาก ชอบมากเลย และเขียนไปได้ครึ่งเรื่องแล้ว ตอนนั้นเขียนในช่วงที่กำลังทำโฆษณาอยู่ ว่างกลางคืนแล้วเขียนถึงเช้า เขียนบทไปเรื่อยๆ เขียนไปได้ยังไม่ถึงครึ่ง ประมาณ 1 ใน 3 ของเรื่อง เขียนไปได้ประมาณนั้น แต่ว่าเรื่องนั้นมันจะเฮฟวี่หน่อย มันเป็นเพราะจริงๆ แล้วเวลาดูหนังผมชอบดูหนังที่จบด้วยความหายนะ ผมนึกไว้ว่ากำกับหนังได้สัก 4-5 เรื่องก่อนผมจะทำหนังเรื่องนี้ ถึงความคอมเมอร์เชียลหรือไม่นั้นต่อให้เรื่องที่ผมอยากทำจริงๆ เนี้ย มันเป็นเรื่องฝาแฝดที่อยากทำจริงๆ ผมคิดว่าต่อให้มีแนวโน้มที่จะเป็นหนังคอมเมอร์เชียล ผมคิดว่าตัวผมเองก็ยังไม่พร้อมในแง่ที่ผมเองก็ยังไม่เก่งพอที่จะทำเรื่องนั้นได้ เพียงแต่ว่ามันเป็นความคิดที่ซับซ้อนออกไป แล้วคุณต้องทำความคิดนั้นออกมาเป็นเรื่องให้ได้ เทคนิคที่คุณต้องเซิร์ฟความคิดนั้นให้ได้แล้วมันต้องใช้เงินเยอะกว่าเรื่องนี้ ก็ต้องหาเงินให้ได้เยอะกว่าเรื่องนี้

แล้วก็หวังว่าตรงนั้นพอทำหนังไปได้ซัก 2-3 เรื่อง ในแง่ของเทคนิค ในแง่ของการจัดการ ผมก็คงพัฒนาขึ้นอะไรเงี้ย ถึงตรงนั้นก็อาจจะทำได้ เพราะว่าการทำหนัง Feature film มันเป็นสัตว์คนละประเภทกับการทำหนังโฆษณา ท่านมุ้ยเค้าใช้มันเป็นสัตว์คนละประเภทซึ่งมันจริงฮะ มาถึงตอนนี้ผมพอจะมองหนัง 1 นาทีอย่างเนี้ย ผมพอจะมองออกว่าอะไรเวิร์ค อะไรไม่เวิร์ค pacing ของหนังแบบนี้มันจะเซ็งมั้ย แบบนี้มันจะดูไม่รู้เรื่องไปมั้ย เพราะผ่านหนังมาเยอะพอจนเดาได้เรารู้สึกได้ แต่พอดู feature film มันแบบ 90 นาทีว่ะ นั่นคือหนังโฆษณา 90 เรื่อง พูดง่ายๆ แล้วมันมองยาก แต่ว่าเรื่องนี้ทุกอย่างพยายามทำบนโต๊ะให้มากที่สุด หมายความว่าเมื่อเสียเงินแล้วยกกองยกไฟออกไปแล้ว ก็ให้มันพลาดน้อยที่สุด คือมีอะไรตอนนี้มันจะไม่ค่อยเสียเงินมันแค่กระดาษกับปากกา ผมก็เริ่มทำสตอรี่บอร์ดทำอะไรดูว่ามันจะเวิร์คมั้ย คิดว่าจะมี rehearsal มีตัวแสดง 2 อาทิตย์มารู้จักกัน ใครคิดว่าจะพูดยังไงประโยคนี้จะพูดเป็นธรรมชาติมั้ย ยังไงก็จะได้แก้ไขกัน

art4d: เรื่อง casting จะเป็นอย่างไรดาราดังหรือนักแสดงหน้าใหม่?

ต้อม: เออ… ไม่ค่อยมีดาราดังเท่าไหร่ ตอนนี้คาสติ้งเกือบจะลงตัวอยู่แล้วนะครับ เพียงแต่ตอนนี้อย่าเพิ่งบอกแล้วกัน คล้ายว่ายังไม่ได้เซ็นสัญญาอะไรกัน เอาไว้ให้เค้าเซ็นอะไรให้เรียบร้อยก่อน ส่วนมากดาราที่ผมเลือกคนก็รู้จักไม่ใช่หน้าใหม่เลย แต่ถามว่าเป็นดาราไหมก็ไม่ใช่ ทาทา ยัง ไม่ใช่มอส ไม่ใช่เต๋า ต่อให้ผมชอบผมก็เอาเค้ามาไม่ได้ เค้าก็มีค่ายมีอะไรกันยังงี้ผมก็ไม่มีทางได้พวกนี้อยู่แล้ว แต่ตัวแสดงที่ใช้ตอนนี้คือก็ไม่ถึงกับเน้นการแสดงว่าต้องเล่นเก่งไหมอะไร แต่ว่าส่วนมากจะใช้วิธีคุยกัน ตัวแสดงทุกตัวจะใช้วิธีคุยกับผมหมด แล้วก็แค่ดูง่ายๆ ว่าถูกชะตากันไหม ไอ้เรื่องการแสดงค่อยว่ากันคือผมว่าสำคัญในการที่ตัวแสดงหนังเนี่ยมันไม่ได้เป็นของผู้กำกับคนเดียว ทุกๆ คนต้องรับผิดชอบด้วยกันหมด นักแสดงต้องรู้สึกรับผิดชอบกับหนังด้วย หนังมันถึงจะเวิร์คคุณดู Raging Bull หรือคุณดู Taxi มันไม่ใช่ มาร์ติน สกอร์เซซี คนเดียว ตัวแสดงมันก็เห็นหนังเหมือนกันหมดเลย คืออย่างนั้นเนี้ยมันดีหลายแง่คุณไม่มีเงินให้เค้าเยอะเนี่ยเค้าก็ยังเต็มใจที่จะเล่น เพราะเค้ารู้สึกว่าเค้าไว้ใจคุณ เค้าชอบคุณ เค้าชอบสคริป เค้ารู้สึกมันเป็นอะไรที่พอจะดีได้  แล้วเค้าก็ดูไอ้หมอนี่มันเป็นคนตั้งใจทำงานนะ ไอ้ตรงนี้มันจะช่วย ผมไม่มีเงินไปจ้างอาร์โนล แต่ดาราพวกนี้ก็ดีเท่ากัน อาจจะเล่นไม่เก่งเท่าไหร่ แต่ว่าหนังบางเรื่องมันไม่ต้องการ เมอรีล สตรีป ทุกเรื่อง

อย่างหนึ่งของผมเนี่ยการแสดงหวังว่านะฮะ ทุกคนอยากให้ทุกคนเล่นเป็นตัวของตัวเองนะ อะไรที่ไม่พูดในชีวิตประจำวันก็ไม่ต้องพูดต่อให้สคริปผมเขียนไปอย่างนี้เกิดเค้าบอกผมไม่พูดอย่างนี้นะ เค้าก็พูดตามแบบของเค้า ขอให้พูดใจความนี้หวังว่าจะพูดเหมือนเราคุยกัน เพราะหนังเรื่องนี้มันมีพล็อตที่จะพาให้คนดูให้ตามได้ แล้ว characterization มันก็จะแปลกๆ พระเอกเป็นมือปืนแต่ว่ามือปืนจะเซ่อๆ ซ่าๆ หน่อย แต่ว่ายิงคนฆ่าคนเนี่ยโปรฯ เลยนะ แล้วจะตรงข้ามกลับ Pulp fiction หน่อยเวลายิงอะไรไม่ค่อยจะมีเสียง Pulp fiction จะเลือดกระจายเต็มแล้วเสียงป้างๆ อะไรเนี่ย เรื่องนี้เวลาจะยิงอะไรเงี้ยไม่มีเลือด แล้วมือปืนพวกนี้จะโปรฯ มากและจะไสยศาสตร์มาก ไอ้พระเอกเนี่ยปล้นเค้าเสร็จยิงใครตายก็จะเอาตังค์บาทนึงใส่ปากศพอะไรเงี้ย พอกลับบ้านเสร็จฟังเทปภาษาอังกฤษ วันหยุดไปแถวถนนตรอกข้าวสารไปดูโปสเตอร์เทพีสันติภาพ เพราะจริงๆ แล้วไอ้มือปืนคนเนี้ยจะเป็นลูกครึ่ง คือเป็นลูกจีไอไข่ทิ้งไว้ ไอ้จีไอเอากระหรี่ที่พัทยาแล้วมันก็ออกมา แล้วไอ้เนี่ยก็หายกลับอเมริกาไป เพราะงั้นไอ้หมอนี่ที่ปล้นเงินคนแล้วเอาเงินมาเก็บไว้ที่กล่องแล้วชอบไปดูโปสเตอร์อันนี้ชอบฟังเทปภาษาอังกฤษ คือจริงๆ แล้วมันอาจจะเลิกเป็นมือปืนอาจจะตามหาพ่อมันแล้วก็ characterization ของตัวแสดงหวังว่าจะน่าสนใจหน่อย หมายความว่าต่างกับหนังหรือละครที่ typical หน่อยคือว่าจะไม่มีนางเอกที่น่าสงสารจากเฟรมแรกยันเฟรมสุดท้าย จะไม่มีไอ้เสี่ยโหดจากเฟรมแรกยันเฟรมสุดท้าย จะไม่มีไอ้เลวจากเฟรมแรกยันเฟรมสุดท้าย ทุกคนจะมีทั้งดีและเลวหมด ตัวพ่อถึงจะเสเพลน่าดู แต่พอกลางวันก็จะซื้อปลาไปปล่อยไปเดินตลาดพระ คือมันจะเหมือนเราบางวันก็ดีบางวันก็เลว เหมือนคนเราหน่อยนึกออกไหมฮะ มันจะมีหนังที่คุณเห็นนางเอกผู้ซึ่งน่าเศร้าก็จะร้องไห้เฟรมแรกยันเฟรมสุดท้าย

art4d: บรรยากาศของวงการหนังไทยตอนนี้เป็นอย่างไร?

ต้อม: คือคนดูหนังกันเยอะ สำหรับโรงหนังก็ดีขึ้นใช่ไหมฮะ สมัยนี้เสียงก็ดี บรรยากาศอะไรก็ดีคนกลับไปดูหนังกันเยอะ หนังเดี๋ยวนี้มันไม่ค่อยเป็นหนังเท่าไหร่ หนังที่ทำเงินเยอะส่วนมากคนเค้าจะไปดูนักร้องกัน ผมไปดู Leaving Las Vegas ไปดูที่ World Trade โรงติดกันเลยแม่งฉาย“ เด็กระเบิดฯ” กำแพงแม่งบางมาก โอ้โห มันเฮกันแบบมันเหมือนดูคอนเสิร์ต คือเค้าก็ดูคนที่เค้าชอบพวกวัยรุ่นนะ ผู้หญิงก็ไปดูผู้ชายที่เค้าชอบ ผู้ชายก็ไปดูนางเอกที่ตัวเองชอบ แล้วเค้าก็ไม่ต้องตามเรื่องเท่าไหร่มีเรื่องสนุกก็ดี เค้าไปดูคนที่เค้าชอบว่าจะทำอะไรเดี๋ยวเดินไปเหยียบขี้บ้าง… คือจะว่าไปมันทำเงินจริงๆ เหมือนกันไอ้หนังที่เป็นหนังจริงๆ มันไม่ค่อยมี อย่างท่านมุ้ยผมดีใจมากที่ “เสียดาย” ทำเงินดีมากผมดีใจมากเพราะเค้าทำหนังเป็น เนื้อหา O. K. คุณจะว่าดีไม่ดีมันอีกเรื่องนึงนะ แล้วแต่คน แต่เค้าทำหนังเป็นหนัง เค้าเรียนมาทางนี้ เค้าทำหนังมา 10-30 ปีแล้ว เค้าเป็นคนไม่ยอมเลิก พอเค้าได้เงินที โอ้โห! ผมโคตรแฮปปี้เลย เนี่ยเค้าถ่ายเสียดาย 2 อยู่

art4d: ชอบ Leaving Las Vegas?

ต้อม: ชอบมาก ถ่าย 16 มิล. เรียกง่ายๆ ว่าไม่มีตังค์ เค้าทำกันแบบงบจำกัด นิโคลัส เคจ รับค่าตัวเรื่องนี้ต่ำกว่าปกติ 20 เท่า แต่เค้าทำ  เค้าชอบสคริปมาก คือถ้าไม่มีคนแบบนี้เรื่องนี้เกือบจะไม่ได้ทำแล้วล่ะถ่าย 16 นี่ แบบคุณไปดูเห็นไหมภาพแตก จัดไฟจัดอะไรก็แทบจะไม่มีอะไรใช้เลย

art4d: นึกว่าเขาจงใจให้ไม่ชัดเพราะเป็นเรื่องของคนเมา มันแสดงถึงภาวะจิตที่มันจะหลอนอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว

ต้อม: ผมคิดอยู่อย่างนึงว่าด้วยเนื้อเรื่องเนี่ย ไอ้ความไม่มีเงินมันก็จะช่วยให้เป็นสไตล์ของหนังได้นะฮะ หลังๆ เนี่ยอเมริกามันจะมีคลื่นลูกใหม่พวกหนังนอกระบบ independent film เกิดขึ้นเยอะมาก แล้วพวกเนี้ยจะเป็นพวกกลางวันเป็นพนักงานแบงค์ กลางคืนเขียนสคริป แล้ววันนึงทนไม่ไหวพอเสาร์-อาทิตย์ก็เอาเพื่อนๆ มาเล่นกันที่บ้าน มีเรื่องนึงตอนนี้ดังมากนั่นก็ไม่มีเงิน ถ่ายในบ้านพ่อของเค้าเลยเอาเพื่อนๆ มาเล่นกันและถ่าย 16 มิล. ได้รางวัลด้วยหนังดีมาก จะเป็นหนังพูดๆ กันไม่ค่อยจะเป็นหนัง คือหนังพวกนี้คุณจะจัดได้ว่าเป็นหนังของคนๆ หนึ่งคนตัวเล็กๆ ในสังคม จะหนักไปทางบทพูดไม่เสียเงินเยอะ คือผมเป็นคนที่ไม่ชอบหนังระเบิดสะพานอยู่แล้ว  ถึงจะทำหนังไทยแบบนี้บัดเจทมันก็ไม่มีให้ผมทำ ซึ่งผมชอบทำหนังพีเรียดหรืออะไรอีกหลายประเภทซึ่งผมก็ชอบคนทะเลาะกันในครัวเหมือนกันแล้วถูกมากด้วย

art4d: ถูกก็หลายล้าน

ต้อม: ใช่ ถูกก็หลายล้านแต่ผมก็ไม่ต้องมี 20 ล้าน

art4d: ย้อนกลับมาหาเรื่องงานโฆษณาซักหน่อย คุณมักจะมีสไตล์คล้ายๆ กับชอบหักหลังคนดูอยู่เสมอๆ คุณเรียกมันว่าอะไร?

ต้อม: ส่วนมากมันจะแอนตี้-ไคลแม็กซ์ ผมอาจจะเป็นคนอย่างนั้นมั้ง หรือความคิดผมอาจจะเป็นอย่างนั้น ส่วนมากพอคนจะทำสคริปแบบนี้เค้าจะนึกถึงผม แล้วก็เอามาให้ผมทำ

art4d: ช่วงหลังๆ มานี้ทำไมไม่ค่อยรับงานกำกับชุกเหมือนช่วงแรกๆ ตอนกำกับโฆษณาใหม่ๆ ?

ต้อม: คืออย่างผมเนี่ยมันจะแปลก เวลาผมทำงานโฆษณาผมจะไม่ค่อยมีงานเยอะ ผู้กำกับโฆษณาเมืองไทยนี่โคตรบีซี่เลยคุณรู้มั้ย  เพราะว่าผู้กำกับมันน้อย หนังโฆษณาที่จะต้องผลิตปีนึงมันเยอะ ทุกคนมันเต็ม ใหม่ๆ แรกๆ ที่ผมเริ่มทำและคนพอเริ่มจะรู้จักตอนนั้นใครๆ ก็อยากทำ สคริปทุกรูปแบบก็จะมาบีซี่ชิบหายเลย พอทำไปๆ คนก็เริ่มรู้แล้วว่าทำงานกับเราเป็นอย่างไร พอปีหลังๆ มันก็เป็นการสกรีนงานของผมไปโดยปริยาย หลังๆ ผมก็เหลือแต่ทำกับเพื่อนๆ บางสตอรี่บอร์ดเค้าอยากทำกับผมมาก เค้าให้ผมทำพอมาดูหน้าลูกค้าเป็นประเภทถึงลองเปลี่ยนเฟรมนึงกูก็รับไม่ได้เงี้ย เค้าก็ทำกับผมไม่ได้ใช่ไหมฮะ แล้วอีกอย่างเค้ารีบมาก เค้าเอาหนังมาให้ผมอาทิตย์นี้อีก 2 อาทิตย์ต้องได้หนังเนี้ย เค้าก็รู้แล้วเค้าใช้ผมไม่ได้ เพราะว่ามาคุยกับไอ้นี่นะจะต้องไม่แฮปปี้กับอะไรบางอย่างเดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยน แม่งเปลี่ยนก็ต้องกลับไปหาลูกค้า หาลูกค้าเสร็จขายให้ลูกค้าได้ใช่ไหม ส่งเซ็นเซอร์อีกใช้เวลา 2 อาทิตย์แล้วผมก็มีอาการพอทำไปสักนิดผมก็อาจจะเปลี่ยนใจอีกนิดนึง ผมเองผมก็ไม่เคยบอกผมทำสิ่งนี้ปั้บแล้วมันเวิร์คเลย ผมก็ทำงานเหมือนคนทุกคนก็คิดไปเรื่อยๆ ไม่หยุดนะ อะไรมันดีกว่าผมก็เอา อะไรมันชัดกว่าผมก็เอา ผมหาทางออกที่ดีกว่านี้ได้ผมก็เอา ซึ่งของอย่างนี้มันไม่ได้บอกผมนั่งคิด 1 คืนแล้วมันได้ หรือ 1 อาทิตย์แล้วได้ ออกไปถ่ายแล้วผมยังเปลี่ยนเลย ถ่ายเสร็จผมไปตัดต่อผมยังเปลี่ยนได้เลย ผมยังมารีเซทถ่ายเพิ่มยังได้ คือตรงนี้ผมก็อาศัยคนที่เข้าใจจริงๆ ถึงจะทำงานด้วยกันได้

art4d: พูดอย่างคนไม่รู้นะ คิดว่าอยู่ดีๆ คนๆ หนึ่งคิดจะทำหนังสักเรื่องต้องทำอย่างไรบ้าง?

ต้อม: มันมีหลายวิธี คือผมก็เอาสคริปผมเนี่ยนัดประชุมเลย โทรไปเลย โทรไปค่ายหนังถ้าผมจะทำผมต้องทำกับค่ายหนัง เพราะค่ายหนังเป็นเจ้าของโรงหนังกันหมด บังเอิญผมเนี่ยอาจจะต่างกับผู้กำกับส่วนใหญ่ คือผู้กำกับส่วนใหญ่อาจจะเคยเป็นนักแสดงแล้ววันนึงก็ผันตัวเองเป็นผู้กำกันหรือว่าเป็นผู้ช่วยผู้กำกับหนังมาตลอด อย่างหนังผมเนี่ยโปรดิวซ์โดย Film Factory แล้วเงินก็มาจากค่ายหนังหรืออะไร แต่ว่าในแง่ทางการปรับตัวไม่ต้องปรับตัวอะไร เพราะว่าบางที่ค่ายหนังเค้าแฮปปี้ตรงที่ว่าคุณมาแล้วพร้อมเลย ผมมีตากล้องของผมซึ่งก็มีผลงานถ่ายหนังโฆษณากับผมมา 5 ปี ผมมีทีม ผมมีกล้อง ผมมีซิ้งซาวนด์ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนในวงการโฆษณา มีเยอะมากที่อยากทำหนังเต็มไปหมดเลย ทุกคนอยากทำหนังกันหมด ซึ่งก็ทำไม่ได้ด้วยสาเหตุต่างๆ พอผมลุกขึ้นมาทำทุกคนก็เลยเอาวะ! กูทำไม่ได้ถ้าช่วยไอ้ต้อมมันได้กูก็จะทำ

art4d: ตั้งใจเปิดกล้องเมื่อไหร่?

ต้อม: แพลนไว้ก็คืออาทิตย์ที่ 2 ของเดือนก.ย. แล้วถ่ายไปถึงสิ้นเดือน ต.ค. หรือต้น พ.ย. ก็ประมาณ 45 คิว มันจะอยู่ใน 2 เดือนที่แพลนไว้ตรงนี้พอดี อย่างนางเอกคนที่ผมชอบ เค้าเรียนหนังสือก็เลยคิดว่าตอนแรกเปิดกล้องครั้งแรกต้นเดือน ก. ย. แต่พอเค้าเรียนหนังสือกัน ผมต้องรอให้เค้าปิดเทอมกัน ไม่งั้นมันจะลำบากเรื่องคิวตัวแสดง การที่จะจัดตัวแสดง 7 คนให้ตรงกัน ทุกคนแม่งบีซี่หมดคนสมัยนี้ แล้วไหนจะโลเกชั่นอีก 8 โลเกชั่น แล้วบางโลเกชั่นยอมให้ผมหลังตี 2 แล้วถ่ายถึง 2 โมงเช้าเท่านั้น บางที่ให้ผมเข้าได้ 4 โมงเย็น ต้องจับข้อจำกัดเหล่านี้ให้ลงตัว แต่ผมมีโปรดิวเซอร์ที่เค้าช่วยทำ คนนี้เค้าเก่งมากซึ่งเค้าก็แนะนำผมว่าเลื่อนถ่ายไปหน่อยได้ไหม  พอนักเรียนมันหยุดเทอมมันก็จะดีขึ้น แล้วช่วงแรกที่เค้ายังไม่ปิดเนี่ยผมก็ถ่ายฉากที่ไม่มีนักเรียนไปก่อนอะไรเงี้ย ก็เรียกว่ากว่าจะตัดต่อเสร็จทำเสียงเสร็จคงสิ้นปีเผลอๆ มกรานู่น

art4d: จะให้เสร็จก่อนตรุษจีนว่างั้นเถอะ?

ต้อม: นั่นก็สนุกที่สุด ผมว่ามันไม่มีแล้วละว่าจะมาพูดกันว่าหนังอาร์ต หนังคอมเมอร์เชียล หนังโลบัดเจต หนังไฮบัดเจต หนังไม่มีสไตล์นั้นสไตล์นี้ ผมว่ามันมีอยู่ประเภทคือหนังดีกับหนัง… (ไม่ดี)


Originally published in art4d #17 (July 1996)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *