ในปีนี้ FLO แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ไทย ถือโอกาสจัดแสดงผลงานการออกแบบและชวนทุกคนมาร่วมชมเส้นทางตลอด 9 ปี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแนวคิด เทคนิค หรือวัสดุ
TEXT: WICHIT HORYINGSAWAD
PHOTO: KETSIREE WONGWAN
(For English, press here)
ผ่านมา 9 ปี กับคอลเล็กชันเฟอร์นิเจอร์ที่ FLO ผลิตนำเสนอสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศกว่าหลายร้อยชิ้นที่เข้าไปมีส่วนในกิจกรรมชีวิตของผู้คนในพื้นที่การใช้งานในลักษณะต่างๆ จากปลายเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนกรกฎาคมนี้ FLO ถือโอกาสในการจัดแสดงผลงานการออกแบบ เพื่อแสดงให้เห็นพัฒนาการของแนวคิดของเฟอร์นิเจอร์ที่ได้ผลิตออกมาในคอลเล็กชันต่างๆ เป็นการ recap ภาพรวมของมุมมอง แนวคิด ความสนใจและวิธีในการแก้ปัญหา ทั้งเรื่องเทคนิคและวัสดุ ผ่านนิทรรศการที่มีชื่อว่า Nine Years of FLO ซึ่งในนิทรรศการนี้ แบ่งหัวข้อในการนำเสนอเรื่องราวออกเป็น 4 โซน โดยเริ่มต้นจาก Collaborations ซึ่งจัดแสดงอยู่ในพื้นที่ชั้นล่างของ FLOHOUSE โชว์รูมที่เปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้วในซอยสุขุมวิท 36
Collaborations เป็นโครงการทดลองที่ FLO ชวนนักออกแบบ 5 ทีมมาร่วมออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ FLO ยังไม่เคยทำมาก่อนในวาระการฉลองครบรอบ 9 ปี เริ่มต้นจากที่จัดแสดงทางด้านหน้า UU สตูลและบาร์สตูล ที่ออกแบบโดย Naphakard (นภากาด) ที่รูปทรงยังคงความเป็นมินิมอลลิสต์ที่ผสมผสานกลิ่นอายตะวันออกเหมือนสตูลอย่าง Sora ที่เคยออกแบบเอาไว้ โดยไอเดียหลักนั้นพยายามใช้โครงสร้างน้อยที่สุด คือท่อเหล็กกลมที่นำมาจากภาพจำของท่อเหล็กในสนามเด็กเล่น พัฒนามาเป็นตัวสตูลสีขาวและดำ ขณะที่ ease studio ซึ่งถนัดในการออกแบบงานปักและงานสิ่งทอ นำเสนอชุดเครื่องนอนที่มีชื่อว่า Envelop ซึ่งให้รายละเอียดว่าสามารถเปิดออกได้ง่ายเหมือนเหมือนเปิดซองเอกสาร เพื่อความสะดวกในการถอดเปลี่ยนซักทำความสะอาด และมีสีสันสดใสน่าใช้งาน

UU Stool by Naphakard

Envelop by ease studio
และที่จัดแสดงไว้ในพื้นที่ใกล้กันคือ โคมไฟ UBA Lamp เกิดจากไอเดียเริ่มต้นที่ต้องการนำเศษชิ้นไม้ที่เกิดจากการผลิตเฟอร์นิเจอร์กลับมาใช้ใหม่โดยทีมออกแบบ Pana Object นึกถึงพวงอุบะบนพวงมาลัยที่ร้อยรัดดอกไม้เข้าด้วยกันกับการเรียงร้อยเศษชิ้นไม้เข้าด้วยกัน จนกลายเป็นที่มาของชื่อผลงาน และยังออกแบบให้มีรูปทรงล้อกับงานในคอลเล็กชัน Dinsor ของ FLO

UBA Lamp by Pana Object
ขณะที่โคมไฟของ Sarnsard ที่เน้นการใช้เทคนิคจากงานหัตถกรรมอย่างการสาน จากช่างท้องถิ่นในจังหวัดตรัง นำเสนอโคมไฟที่เทคนิคของการสานด้วย ‘ลายบ้า’ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นลายสานที่มีความยากและซับซ้อนเป็นส่วนประกอบ โดยพัฒนาออกมาเป็น โคมไฟตั้งโต๊ะ โคมไฟตั้งพื้น และโคมไฟแขวน ในขณะที่ Khit.Ta.Khon (ฆิดตาโขน) เป็นดีไซเนอร์ที่ให้ความสนใจกับการผสมผสานข้ามวัฒนธรรมของงานหัตถกรรม ใช้เก้าอี้ Fat Boy ที่เคยออกแบบไว้เป็นจุดตั้งต้นเพื่อนำมาออกแบบลวดลายใหม่ ตีความผ่านน้ำหนักของตัวอักษรในโลโก้ของ FLO โดยให้ชื่อผลงานชุดใหม่ที่เกิดขึ้นนี้ว่า Nine

โคมไฟที่สานด้วยเทคนิค ‘ลายบ้า’ by Sarnsard

Nine by Khit.Ta.Khon
บนพื้นที่ชั้นบนของ FLOHOUSE ยังมีนิทรรศการอีกสองโซนด้วยกัน ได้แก่ Void, The Origin ซึ่งจัดแสดงที่มาของคอลเล็กชันแรกของ FLO ที่มีชื่อว่า Void (2014) ซึ่งพัฒนามาจากงานวิทยานิพนธ์ของ นรุตม์ ปิติทรงสวัสดิ์ ผู้ก่อตั้งและ Design Director ของ FLO ในปี 2012 อันเป็นการศึกษาและทดลองออกแบบรอยต่อระหว่างวัสดุอย่างไม้และเหล็กในรูปแบบต่างๆ

นรุตม์ ปิติทรงสวัสดิ์ ผู้ก่อตั้งและ Design Director ของ FLO
และอีกโซนที่อยู่ในพื้นที่ถัดมามีชื่อว่า Continuous FLO ซึ่งจัดแสดงให้เห็นพัฒนาการในการออกแบบในแต่คอลเล็กชันตลอดเก้าปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น Join Chair / Join Sofa (2014) ที่พัฒนาจากงานชุด Void (2014) ซึ่งให้ความสนใจกับความกลมกลืนในรอยต่อของงานเหล็กและไม้ รวมถึงการให้ความสำคัญของสัมผัสของวัสดุอย่างไม้และความรู้สึกเบาแต่แข็งแรงของโครงสร้างเหล็ก โดยออกแบบให้ผสมผสานไปกับงานของวัสดุในการหุ้มบุ

(ซ้าย) Join Sofa (2014), (ขวา) Join Chair (2014)

Join Chair (2014)
Pokky Stool / Pokky Armchair (2015) ยังคงเน้นย้ำเรื่องการเชื่อมต่อวัสดุอย่างไม้และเหล็ก แต่เพิ่มความขี้เล่นด้วยเส้นสายของฟอร์มที่ลื่นไหล โค้งมน และโปร่งเบา โดยได้แรงบันดาลใจในการตั้งชื่อมาจากขนมชื่อดัง ในขณะที่ Blend Armchair (2015) ต่อยอดเทคนิคการประกอบไม้และเหล็กจาก Pokky แต่เพิ่มความเพรียวบางให้มากขึ้น และ Angle Stool (2016) คิดถึงรอยต่อที่ง่ายในการถอดแยกเพื่อง่ายต่อการซ่อมแซม และมีราคาที่จับต้องได้มากขึ้น

(ซ้าย) Pokky Chair (2015), (ขวา) Pokky Stool (2015)

(ซ้ายไปขวา) Angle Stool (2016), Blend Armchair (2015), Pokky Chair (2015), Pokky Stool (2015)
นอกจากนี้ยังมีงานที่พัฒนาขึ้นมาจากเทคนิคการเชื่อมต่องานไม้อย่าง Dinsor Dining Chair (2016) ที่เน้นรายละเอียดของจุดเชื่อมต่อต่างๆ ที่แสดงให้เห็นทักษะและความสามารถของงานช่าง ที่ยังให้ความสำคัญกับความเรียบง่ายและโปร่งเบา และ Frame Chair (2020) ที่ใช้เทคนิคการเข้าไม้แบบ single finger joint ที่สร้างความต่อเนื่องให้กับโครงขาและที่เท้าแขน และเก้าอี้ที่ผลิตจากไม้โอ๊คธรรมชาติอย่าง Timber Armchair (2022) ที่ยังคงเน้นเรื่องความเรียบง่ายและมีจุดเด่นที่สามารถซ้อนเก็บเพื่อประหยัดพื้นที่

(ซ้าย) Frame Armchair (2020), (ขวา) Dinsor Stool (2019)
ในขณะที่ Edge Armchair (2022) ที่ออกแบบให้มีแผ่นไม้ปิดด้านข้างบริเวณช่วงเท้าแขน เกิดเป็นกรอบที่โอบล้อมผู้ใช้งาน ทำให้ตัวเก้าอี้ดูหนักแน่น นอกจากนี้ยังมีคอลเล็กชัน D Chair (2020) ซึ่งเป็นการทำงานร่วมแบบทางไกลระหว่าง FLO และ Propaganda ในช่วงล็อกดาวน์ จากแบบร่างและเส้นสายของ Propaganda และมุมมองด้านวัสดุและเทคนิคของ FLO จนทำให้เกิดเป็นเก้าอี้ที่ค่อนข้างแตกต่างไปจากงานของ FLO ในชิ้นอื่นๆ

(จากซ้ายไปขวา) Edge Armchair (2022), Timber Armchair (2022), Palin Small Stool (2020), Palin High Stool (2020), D Chair (2020)

D Chair (2020)
และในโซนสุดท้าย Furnist เป็นนิทรรศการที่จัดแสดงอยู่บริเวณพื้นที่ข้าง Warehouse ที่อยู่ด้านในนำเสนอผลงานของภาพรวมของแบรนด์ Furnist ตั้งแต่ปี 1994 โดยจัดวางแบ่งตาม timeline แสดงให้เห็นพัฒนาการที่เกิดขึ้นตามยุคสมัยต่างๆ รวมถึงปัญหาและอุปสรรค ก่อนที่จะพัฒนาต่อมากลายเป็น FLO ในปี 2014 ซึ่งแสดงให้เห็นรากเหง้าของตัวแบรนด์ที่มีประสบการณ์ในมีความเชี่ยวชาญในการผลิตงานเฟอร์นิเจอร์มาอย่างยาวนาน
นิทรรศการ Nine Years of FLO จัดแสดงอยู่ที่ FLOHOUSE สุขุมวิท 36 ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม ถึง 23 กรกฎาคม นี้ตั้งแต่เวลา 10.00-19.00