PLOENDOCHOME

DESPITE ITS SMALL SIZE, THIS RECENTLY RENOVATED HOUSE OF PIMSIRI NAKSWASDI AND CHANABODI CHINWANNO IS PACKED WITH A SENSE OF DISCOVERY

TEXT: PRATCHAYAPOL LERTWICHA
PHOTO: KETSIREE WONGWAN EXCEPT AS NOTED

(For English, press here)

ช่วง Work From Home ทั้ง 2 รอบที่ผ่านมา เวลาที่ต้องอยู่แต่ที่บ้านนานๆ การตื่นมาเจอมุมมองเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในบ้าน ก็ทำเอาเราสะอิดสะเอียนกับมุมมองซ้ำๆ อยู่เหมือนกัน แต่สำหรับ เพลิน-พิมสิริ นาคสวัสดิ์ (เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า The Parrot และหุ้นส่วนร้านกาแฟ Coffeeology) และ ด็อค-ชนบดี ชินวรรโณ บ้านหรือเรือนหอของพวกเขาเพิ่งรีโนเวทเสร็จไปไม่นานให้ผลตรงกันข้าม เพราะแม้ว่าจะมีขนาดพื้นที่เล็กๆ กะทัดรัด แต่ก็อัดแน่นไปด้วยเรื่องราวและรายละเอียดการดีไซน์

บ้านของเพลินและด็อคเป็นบ้านชั้นเดียวที่อยู่ระหว่างบ้านสองหลังในรั้วเดียวกัน บริเวณโถงทางเข้ามีลักษณะเป็นชานใต้ชายคาเตี้ยๆ ทำให้บ้านดูมีสเกลที่น่ารัก เรานั่งรอบนม้านั่งหินขัดหน้าบ้านสักพัก
เอฟ วาญุภัทร ทองเหลือง ดีไซเนอร์เจ้าของบริษัท Finterior ที่รับบทบาทเป็น co-designer และผู้รับเหมาก่อสร้างก็ตามมาสมทบอีกคน

เมื่อเปิดประตูเข้าไปภายในเราก็พบกับส่วน common area ที่มีบรรยากาศต่างกับพื้นที่ภายนอกอย่างถนัดตา ห้องนั่งเล่นดูโอ่โถงด้วยระดับฝ้าที่ตีสูงไปตามรูปทรงหลังคา ผิดกับภายนอกที่มีชายคาระดับต่ำ และสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนทันทีก็คือการจัดวางเฟอร์นิเจอร์บิลท์อินอย่างโต๊ะกินข้าวและเคาน์เตอร์บาร์ในรูปแบบซิกแซก และพื้นที่นั่งเล่นที่เป็นพื้นลดระดับเข้ามุม รวมทั้งองค์ประกอบอย่างซุ้มโค้ง ซึ่งร่วมกันสร้างความต่อเนื่องของพื้นที่และสร้างให้เกิดมุมเล็กมุมน้อยจากรูปทรงภายนอกที่เป็นสี่เหลี่ยมธรรมดาให้เป็นพื้นที่ที่มีอะไรให้ค้นพบตลอดเวลา

เมื่อถามถึงที่มาที่ไปของการวางเฟอร์นิเจอร์แบบซิกแซก หรือการเล่นระดับกับระนาบต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวนี้ เราก็เซอร์ไพรส์ไปกับคำตอบของพิมสิริที่ว่า รูปแบบการดีไซน์นี้เธอคงไว้จากบ้านหลังเดิมซึ่งเป็นของคุณตาและคุณยายที่แยกออกมาปลูกใหม่หลังจากลูกหลานแยกย้ายไปมีครอบครัวของตัวเอง โดยทั้งคู่ตั้งใจให้บ้านหลังนี้เป็นพื้นที่ที่ทั้งสองได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุข และเป็นพื้นที่รวมคนในครอบครัวด้วย ซึ่งลูกเล่นการจัดการพื้นที่แบบเดิมที่เรียกได้ว่าโก้มาตั้งแต่สมัยก่อนนั้นได้รับการตกแต่งใหม่ให้ร่วมสมัยและตรงกับความชอบของทั้งคู่ ภาพรวมใช้สีโทนไม้เป็นหลักทั้งในส่วนพื้นและตู้เพื่อสร้างความอบอุ่น และมีสีเทาอมน้ำเงินของเคาน์เตอร์บาร์และตู้ทีวีมาตัดแต่งเพิ่มมิติความลึก

และอีกส่วนที่ทำให้บ้านดูน่าอยู่ก็คือมุมสวนเล็กๆ ที่กระจายอยู่ทั้งภายนอกบ้านและภายในบ้านจนแทบจะเห็นต้นไม้ได้จากทุกบริเวณของบ้าน และเป็นการผสมผสานเส้นสายของรูปทรงเรขาคณิตเข้ากับรูปทรงธรรมชาติได้เป็นอย่างดี

หลังจากเดินรอบๆ ห้องนั่งเล่นกันไปแล้ว ทั้งสามก็พาเราเดินลอดซุ้ม arch ไปสู่บริเวณของบ้านที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น สอดคล้องกับฝ้าเพดานที่ต่ำลง และนำเราไปสู่อีกพื้นที่ไฮไลท์ของบ้านนั่นคือห้องน้ำ บ้านหลังนี้มีห้องน้ำสองห้องที่อยู่ติดกัน ห้องแรกเป็นห้องน้ำสำหรับแขก ส่วนอีกห้องเป็นห้องน้ำใน Master Bedroom ซึ่งทั้งสองห้องตกแต่งไปในทิศทางเดียวกันคือใช้กระเบื้องหินขัดสีเทา และเปิดมุมมองไปที่ต้นไม้ในคอร์ทเล็กๆ ภายนอก ไม่เพียงเท่านั้น ห้องน้ำยังถูกออกแบบให้เห็นต้นไม้ได้ไม่ว่าจะอยู่ในมุมไหนของห้องน้ำ เช่น การใช้กระจกเข้ามุมในห้องน้ำแขก หรือตู้เก็บของพื้นผิวสีดำเงาในห้องน้ำส่วนตัวเพื่อช่วยสะท้อนวิวอีกด้วย

อีกประเด็นสำคัญที่เราสังเกตเห็นได้ชัดเจนคือความละเมียดละไมในการเลือกสรรวัสดุหรือสิ่งของเข้ามาแต่งเติมดีไซน์บ้าน ไม่ว่าจะเป็นโซฟาที่ขนาดลงกับแนวผนังแบบพอดิบพอดี เฟอร์นิเจอร์ลอยตัวทุกชิ้น การเลือกต้นไม้ที่มีฟอร์มใบละเอียดเพื่อให้แสงเงาที่กระทบตัวบ้านมีความละเอียดลออ หรือกรวดหินในพื้นคอร์ทที่เป็นก้อนสีขาวอมชมพูสวยงาม ซึ่งไม่ว่าใครมาเยี่ยมหา ก็เป็นต้องถามพิมสิริว่ามาจากไหน

“ชอบบ้านมาก บ้าบ้าน อยากอยู่บ้านทุกวัน” พิมสิริตอบทันควันเมื่อเราถามเธอว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ และนอกจากทั้งคู่แล้ว อีกหนึ่งคน (หรือตัว) ที่พิสูจน์ความน่าอยู่ของบ้านได้ดีที่สุดคงเป็น “กะหล่ำ” เจ้าหมาจ้ำม่ำพลังเยอะผู้ที่พิมสิริยกให้เป็นเจ้าของบ้านที่แท้จริง ซึ่งการที่เราเห็นเจ้ากะหล่ำวิ่งร่ารอบบ้านอย่างสำราญใจ หรือไม่ก็นอนแอ้งแม้งชมสวนอย่างไม่ประสีประสาใต้ต้นหูกระจงใบด่างในห้องส่วนตัวของตัวเอง ก็คงเป็นการตอบคำถามนี้ไปในตัว

facebook.com/Finterior.Co.Ltd

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *