ป้ายกำกับ: Soopakorn Srisakul

PHOTO ESSAY : WEEKEND STAGE

TEXT & PHOTO: SOOPAKORN SRISAKUL

(For English, press here)

ผมคิดถึงที่นั่นในวันคล้ายวันหยุด

มีเพียงบางสถานที่ที่เราจะปรนนิบัติมันได้ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่แค่ทำงานจนมืดค่ำก็ไม่ได้หมายความว่าจิตของเราจะผูกพัน มันค่อนข้างแน่นอนว่าถ้าไม่อยู่กันดึกดื่นคงไม่มีใครเจอผี เรื่องมันมีอยู่ว่าเมื่อ 3 -10 กว่าปีก่อนที่สิ่งพิมพ์ยังไปได้สวย และที่ออฟฟิเรายังมีงานเลี้ยงฉลองอะไรสักอย่างที่ริมคลองบางกอกน้อย อันบรรจบกับคลองมหาสวัสดิ์ซึ่งเคยเป็นทางคมนาคมแต่เก่าก่อน นิ่มชวนน้องๆ (ซึ่งน่าจะเป็นเค้กและว่าน) ลงไปหอบเอาสิงห์และไฮเนเก้นใส่เสื้อจนตุงขึ้นมาส่งพี่ๆ ที่นั่งปั่นงานอยู่ชั้นสาม แม้ทุกวันนี้งานฉลองจะกลับมาอีกครั้งกับถังใส่น้ำแข็งที่มีแค่เบียร์ช้าง ที่เหลือคาตู้เย็นทุกครั้งเกือบสัปดาห์ จ๋อมอดีตเลขาและคุณแม่ของผมก็ยังยืนยันว่าถ้าเรื่องผีให้โทรไปถามพี่ซาร่า เพราะที่เล่ามาผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ 

บางตำนานเริ่มลางเลือนไม่ปะติดปะต่อ ในขณะที่บางรูปถ่ายเมื่อเดือนก่อนยังแสดงทัศนียภาพกับหน้าต่างบานกระทุ้ง และเฟรมกระจกอะลูมิเนียมที่ไม่ได้ทำสีอโนไดซ์ ซึ่งมักถูกเปิดออกรับลมพร้อมเสียงเรือในช่วงเวลาหลังหนึ่งทุ่มช่วงเดือนเมษาจนถึงปลายมีนาคม ผลไม้แห้งกรังริมระเบียงที่ไม่รู้ใครเอาไปวาง ไม่ว่าจะกล้วยแอปเปิ้ลหรือมะม่วงมัน ทำให้นึกถึงเสียงแหวกก้านใบหนาพุ่มที่กระรอกกระโดดไล่กันบนต้นหมากแดง พวกมันมีขนฟูสีดำแตกต่างจากพญากระรอก และกระรอกพันธุ์ขนสีน้ำตาลท้องขาว และถ้าตอนนี้เป็นเวลากลางวันพวกมันคงจะพากันไต่ต้นหูกระจงมาถึงหน้าต่างชั้นสาม

ท่ามกลางแดดร้อนในวันหยุด บางทีผมจะแอบสูบบุหรี่โดยยื่นแขนออกไปด้านที่ติดกับร่องสวนผลไม้ที่มีฉากหลังเป็นต้นยางนาคู่หนึ่งที่สูงที่สุดใน กทม. นี่เป็นการสูบบนชั้นสามในวันหยุดที่ต้องใช้หลักการง่ายๆ ก็คือ งอข้อศอกตามองศาบานกระทุ้ง แล้วชูบุหรี่มวนสุดท้ายไว้นอกหน้าต่างเพื่อดูทิศทางลม โดยที่ขาทั้งสองข้างคอยระวังหนามจากแคคตัส รวมถึงไม้อวบน้ำที่ชาวออฟฟิศชอบปลูกไว้ริมหน้าต่าง มู่ลี่อะลูมิเนียมสีขาววางตัวซ้อนกันในแนวยาวกับเชือกสองเส้นที่มีไว้ปรับองศา และใช้เชือกอีกคู่หนึ่งสำหรับรูดมันขึ้นจนสุด ด้วยกระแสลมเย็นจากระบบปรับอากาศรวมของอาคาร ทำให้มันทิ้งคราบละอองน้ำรูปสันทรายจากลมทะเลไว้บนกระจกเสมอ 

ในวันคล้ายวันหยุด ผมกลับไปที่นั่นอีกครั้ง บ่ายร้อนระอุฉายแสงฉาบประตูสแตนเลสด้านหน้าที่แทบไม่เคยปิดเลยตลอด 15 ปี พร้อมเสียงเตาะแตะจากรองเท้าแตะที่ผมลากผ่านป้อมยาม และโรงพิมพ์ขนาดใหญ่โตที่เกือบครึ่งถูกรีโนเวทให้เป็นอะไรสักอย่าง ในที่สุดเสียงนั้นก็มาหยุดตรงหน้าพี่ยามที่วันนี้ต้องทำหน้าที่วัดอุณหภูมิแทนเจ้าหน้าที่พยาบาล เขาเคยเล่าให้ฟังว่ามีบ้านอยู่จอมทองหรือที่ไหนสักที่แถวเอกชัยแต่ผมก็ไม่เคยเห็นเขากลับบ้านเลยสักครั้ง ด้วยเครื่องวัดที่ชี้มาบนหน้าผากแสดงผลสีแดง พี่ยามบอกผมว่าอากาศคงร้อนไปและบอกให้ผมลองเอาหน้าจ่อกับพัดลมเป็นครั้งที่สี่

บ่ายวันนี้น่าจะเป็นโอกาสดีที่จะกลับไปโทรหาพี่ซาร่า และคงต้องส่งข้อความถามเบอร์เธอจากใครคนหนึ่ง

_____________

ศุภกร​ ศรี​สกุล ช่างภาพประจำนิตยสาร​บ้านและสวน รวมทั้งรูมแมกกาซีน​ นอกเหนือจากถ่ายภาพแนวสถาปัตยกรรม​แล้วมักถ่ายสิ่งใกล้ตัว​ (ยกตัวอย่างง่ายๆ เลยคือแฟน)

behance.net/soopakornsrisakul

PHOTO ESSAY : ANIMAL


TEXT & PHOTO: SOOPAKORN SRISAKUL

(For English, please scroll down)

ในการเป็นคนกรุงเทพฯ และบางทีก็ปริมณฑลยิ่งเป็นพนักงานออฟฟิศด้วยแล้วภาพสัตว์ต่างๆ ที่ปรากฏในช่องมองภาพมันทำให้ผมรู้สึกประหลาด

เช้าวันอาทิตย์ที่ช่วงปลายปีแสงแดดยังถูกกรองด้วยหมอกฝุ่นที่พัดมาจากไหนสักแห่งผมมาหยุดยืนที่โถงกลางนี้เป็นที่แรก​ 

เธอคอยาวและตัวใหญ่กว่าเป็ดมัดกล้ามเนื้อดันให้ขนขาวฟูนั่นมีมิติและถ้าสองขาหน้านั้นเป็นมือมันคงผ่านอะไรมาเยอะ​​ โดยไม่ต้องเข้ายิมหน้าท้องเธอมีซิกแพ็คที่ปลายขนเธอยังมีเศษฟางติดอยู่เลยตอนที่ตาเราประสานกันผมไม่เห็นตัวเองในนั้นผมฟังเสียงจากข้างหลังและข้างนอกนั้นยังเป็นปรกติปากของเธอยังขยับตอนที่ผมได้ยินเสียงซากกระเบื้องใต้รองเท้า​ ​

เผื่อคุณยังไม่รู้ผมมาที่นี่เพื่อถ่ายภาพอาคารที่พรุ่งนี้จะเริ่มรีโนเวทเป็นบูทิคโฮเทลว่ากันว่างานดีไซน์ยิ่งมีมิติเมื่อมันเชื่อมโยงอดีตและเมื่อคุณบินให้สูงหน่อยจะเห็นแขนที่กุมมือกับปัจจุบันและหากอดีตของที่นี่ก่อร่างผ่านถ้อยคำภาษาเหล่านั้นจะมีเพียงน้ำเสียงของพวกเรา

ใกล้ๆกันนั้นน้องตัวอ้วนเริ่มย้ายที่เศษหินย้อยจากเพดานเริ่มหล่นใส่หัวย่นๆเมื่อพุงที่พับเริ่มแบะออกถึงกระนั้นการขยับฝูงทั้งฝูงก็ไม่ทำให้มันไถลไปจากรอยไหม้เดิมมากนัก

บนผนังถ้ำแห่งความเงียบ เซ็นเซอร์กล้องบันทึกการส่งเสียงของสรรพสัตว์เมื่อใดที่กระจกสะท้อนภาพเลื่อนกลับผมยังมองไม่เห็นตัวเองในนั้นปลดล็อคขาตั้งยกกล้องขึ้นสูงเท่าสายตานกนั่นก็ไม่ทำให้ผมสูงกว่าเงาตุ่น

กระถางธูปวางหน้าโถงบันไดพื้นที่ปะทุขึ้นมาคล้ายฟองลาวาเดือดนกไม่มีหัวงูที่น้ำลายราดพาดบานประตูตัวอ้นไม่มีขาตรงชานพักบันไดตัวหน้าเหลี่ยมปากเล็กๆสีห้าตัวฝังร่างกลืนไปกับผนัง ผ่านมาจนชั้นบนสุด ผมสูดกลิ่นเมืองด้วยความเหนื่อยหอบฟังเสียงข้างนอกทุกอย่างยังเหมือนเดิมเป็นความเงียบที่เป็นปรกติมาตลอด 9 ปี

นิทรรศการภาพถ่าย “Animal” (สัตว์ไร้เสียง) โดย ศุภกร ศรีสกุล จัดแสดงระหว่างวันที่ 22 มิถุนายน – 4 สิงหาคม 2562 ที่ Window gallery and cafe

_____________

ศุภกรศรีสกุล ช่างภาพประจำนิตยสารบ้านและสวนรวมทั้งรูมแมกกาซีนนอกเหนือจากถ่ายภาพแนวสถาปัตยกรรมแล้วมักถ่ายสิ่งใกล้ตัว​ (ตัวอย่างง่ายๆ เลยคือแฟน)​ ทำให้มีโอกาสแสดงงานตามแกลเลอรี่บ้างประปรายอย่างงาน ​photo essay ชุดนี้ก็เช่นกันเป็นงานภาพถ่ายอาคารที่ถูกไฟไหม้ในช่วงเหตุการณ์ใกล้ตัวเราเมื่อ 9 ปีก่อน

Living in the city of Bangkok and, at times, its outer district, especially as an office worker, the images of animals appear in the viewfinder give me a strange feeling.

 On a Sunday morning in the final month of the year when the sun is heavily filtered by a restless mass of dust flown from some unknown places, I stop and stand still in middle of this foyer.

I see her long neck and she looks bigger than an ordinary duck would. Her muscles accentuate the volume of her feathers, making them look more dimensional somehow. And if those two legs were here hands, I figure they would have gone through quite a journey. Without having to go to a gym, the six packs on her stomach are clearly visible.  A couple of stems of hay are on her feathers. When our eyes meet, I don’t see myself in her vision. I listen to the sounds from the back and everything seem normal outside. Her mouth continues to move when I hear the ruins of tiles move underneath my feet.

Just in case you don’t know, I am here to photograph the building whose renovation set to commence on the next day would eventually turn the place into a boutique hotel. It has been said that a design reaches a more dimensional level once it connects itself to the past. If you were able to fly high enough, you would see an arm reaching out with a hand grabbing on to the present. And if the past of this place was built upon words, the language it spoke would be made up of our uttered voices. 

Nearby, the stout figures start to move from their position. The stalagmites on the ceiling begin to fall on their crumpled heads as the folded tummies stretch out. But even with the entire flock now moved, it didn’t go that much farther from the existing burnt surface. 

On the walls of the cave of silence, the camera’s sensor operates and records the sounds of the animals. The mirror reflects an image, but I still can’t see myself in it. I discharge the lock of the tripod, raise the camera to be in the same level as the bird’s eyes, but it doesn’t make me go any higher than the shadow of the groundhog. 

A bowl of burned out incense sticks is placed at the front of the staircase. Space erupts like blazing lava. I see the headless bird, the snake with saliva spreading across the door frame, the limbless bamboo rat at the staircase’s landing, the four or maybe five rectangle-face creatures whose bodies merge almost seamlessly into the surface of the wall. On the top floor, I inhale the smell of the city with exhausting pants, ears listening to the outside noises. Everything is the same. The silence is still there; like it always has been throughout these past nine years. 

“Animal”, the photo exhibition by Soopakorn Srisakul. Set to open on 22nd June 2019, the exhibition will take place at   Window gallery and cafe  until  4th August 2019.

_____________

Soopakorn Srisakul Photographer of Home and Garden and Room magazine who takes picture of, not just beautiful works of architecture, but everything around him (his girlfriend, for example) with exhibitions at galleries here and there. This series of photo essay captures the inside of a building burnt down during an incident that took place in Bangkok 9  years ago.

Soopakorn Srisakul